จากการที่ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) ตัดสินใจขายที่ดินแปลงใหญ่สองแปลงย่านสุขุมวิท และ กรุงเทพกรีฑา ให้กลุ่มทุนอื่นเพื่อนำรายได้เข้าบริษัท และ ลดภาระต้นทุนทางการเงินนั้นซึ่งได้รับการเปิดเผยจาก คุณธีรธัชช์ สิงห์ณรงค์ธร ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มสนับสนุนสายงานลงทุนสัมพันธ์ ว่า
จากข่าวที่มีออกมานั้นทาง PF ได้มีแผนการที่จะขายที่ดินแลนด์แบงค์ทั้งสองแปลงเพื่อก่อให้เกิดรายได้กับบริษัทและลดต้นทุนทางการเงิน เป็นเรื่องจริง และ ตั้งเป้าที่จะขายให้ได้ภายในปีนี้ ซึ่งแปลงแรกนั้นเป็นที่ดินขนาด 17 ไร่บนถนนสุขุมวิท ซึ่งได้ทำการเจรจาซื้อขายกันแล้วกับทางกลุ่มเดอะมอลล์ซึ่งสนใจที่ดินแปลงดังกล่าวซึ่งตั้งอยู่บนถนนสุขุมวิทบริเวณใกล้สีแยกบางนา เพื่อทำเป็นห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ส่วนอีกแปลงนั้น อยู่บนบริเวณ ถ.กรุงเทพกรีฑา และ สำหรับการเจรจากับทางเดอะมอลล์กรุ๊ปนั้น อยู่ในระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการแล้วและคาดว่าจะมีบทสรุปภายในเดือนมิถุนายนนี้แน่นอน และ มูลค่าซื้อขายนั้นมากกว่าหนึ่งพันล้านบาท ส่วนแปลงที่เหลือนั้นอาจจะดรอปราคาอยู่ที่ 800 ล้านบาทพร้อมลดขนาดแปลงที่จะขายเพื่อให้สามารถขายได้ในราคาที่นักลงทุนต้องการและกำลังหาข้อมูลเพื่อสรุปแนวโน้มของกลุ่มทุนที่สนใจจะซื้อ
นอกจากนี้ ด้วยสภาพเศรษฐกิจที่ยังทรงๆทรุดๆ ทำให้ทางบริษัทเอง ยังศึกษาแนวโน้มความคุ้มค่าและผลตอบแทนในการลงทุนที่ญี่ปุ่น ที่ทางบริษัทได้ลงทุนไว้ซึ่งเป็นสกีรีสอร์ทและโรงแรม ว่าจะเก็บไว้หรือจะขายให้นักลงทุนรายอื่น แต่ก็มีการเจรจากเชนโรงแรมหรูชื่อดังเพื่อให้เข้ามาบริหารซึ่งมีการเซ็น MOU ไปแล้วและคาดว่าคืบหน้าเกือบจะ 100% และยังเปิดให้นักลงทุนรายอื่นๆที่สนใจเข้ามาซื้อกิจการโรงแรมด้วย หากเสนอในราคาที่บริษัทต้องการคือ 800ล้านบาท และสำหรับการตั้งเป้ารายได้ทั้งหมดนั้นแม้ไตรมาสแรกจะปรับลดลงไปบ้าง แต่ก็คาดว่าหลังจากมีการรัฐประหารนั้น เศรษฐกิจน่าจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น เพราะปัญหาทางการเมืองได้คลี่คลายลงไป ความเชื่อมั่นของนักลงทุนก็น่าจะกลับมา ทำให้อสังหาริมทรัพย์จะมีการฟื้นตัวได้ในเร็ววัน
นอกจากนี้ทางบริษัทเอง ก็ยังมีการวางแผนเปิดโครงการใหม่ในช่วงครึ่งหลังของปี โดยมูลค่าโครงการสูงถึง หกพันกว่าล้านบาท ซึ่งหวังกระตุ้นยอดขายให้เพิ่มขึ้น และ ยังมีโครงการที่ยังขายไม่หมดอยู่อีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งคาดว่าน่าจะขายได้หมดในปีนี้เพราะเศรษฐกิจและปัญหาการเมืองได้รับการแก้ไขและฟื้นตัว และน่าจะเร่งการก่อสร้างให้เข้าสู่สภาวะปรกติหลังจากที่ล่าช้ามานานทำให้การรับรู้รายได้ของโครงการต่างๆหยุดชะงักไป และ ทางบริษัทเอง ยังเลื่อนขายกองทุน ยูนิลอฟ ซึ่งเป็นการนำโครงการอสังหาฯสำหรับเช่าในพื้นที่ใกล้มหาวิทยาลัยออกไปนั้น เพื่อให้ตรงกับการเปิดปิดการศึกษาเมื่อเข้า AEC และยอดเช่านั้นมีเพียง 40% จากยอดที่ตั้งเป้าไว้ ซึ่งคาดว่าเมื่อมีการปรับเปลี่ยนการเปิดปิดของนักศึกษาเข้าที่แล้วคาดว่าจะมียอดเช่าที่ตรงตามเป้าที่วางไว้และคาดว่าจะนำกองทุนกลับมาขายได้ตามแผนที่วางไว้อีกด้วย
- ข่าวและบทความข้างต้นนี้จัดทำโดย ฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัท ดอท พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด หากท่านมีข้อสงสัยหรือต้องการส่งข่าวเกี่ยวกับแวดวงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการประชาสัมพันธ์ สามารถติดต่อได้ที่ PR@Thailand-Property.com