นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เผยถึงโปรเจคใหม่ว่า “สิงห์ เอสเตท” ถือเป็นแบรนด์ใหม่ในวงการอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ที่แตกไลน์มาจากกลุ่มบุญรอดบริวเวอรี่ ของตระกูล “ภิรมย์ภักดี” เจ้าของเบียร์สิงห์และลีโอ
โดยได้วางโมเดลไว้ว่าจะเจาะตลาดพรีเมี่ยม โดยจะลงทุนแบบครบวงจร ทั้งคอนโด โรงแรม ไลฟ์สไตล์มอลล์ นิคมอุตสาหกรรม ซึ่งจะร่วมทุนกับ “สยามฟิวเจอร์” และเอเย่นต์ ขึ้น 3 โครงการแนวรถไฟฟ้า และอภิมหาโปรเจคทำเลอโศก
เราเป็นน้องใหม่ของวงการ แต่แผนงานและแนวทางวางไว้ชัดเจน ภายใน 5 ปีแบรนด์นี้จะขึ้นอยู่ในระดับ ท็อป5
|
และใช้ “จุดแข็ง” ของธุรกิจมาช่วยต่อยอด ทั้งเงินทุน ชื่อเสียง ประสบการณ์ พันธมิตร เครือข่ายเอเย่นต์ และต้นทุนจากที่ดินเก่าหรือแลนด์แบงก์ทั่วประเทศเป็นตัวขับเคลื่อน ภายใต้การบริหารจัดการของ “มืออาชีพ” โดยมีนายนริศนั่งตำแหน่งซีอีโอคนแรก
นายนริศกล่าวต่อว่า ในฐานะน้องใหม่จึงต้องคิดให้ต่างจากคู่แข่ง จากประสบการณ์อสังหาฯแต่ละเซ็กเมนต์ก็มีเจ้าตลาดอยู่แล้ว อาทิ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์, แสนสิริ, เอพี, พฤกษา เรียลเอสเตท, แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ ฯลฯ ซึ่งแต่ละผู้ประกอบการก็มีความโดดเด่นแตกต่างกันไป ดังนั้น นโยบายการพัฒนาโครงการของสิงห์ฯจะเน้นทำครบทุกเซ็กเตอร์ ทั้งบ้าน คอนโดมิเนียม อาคารสำนักงานให้เช่า โรงแรม ไลฟ์สไตล์มอลล์ และนิคมอุตสาหกรรม และเซ็กเมนต์ที่ชัดเจนคือเน้นตลาดกลางขึ้นไป
สำหรับกำหนดการ 5 ปีนับจากนี้ จะให้น้ำหนักธุรกิจโรงแรมเป็นหลัก รองลงมาคือ อาคารสำนักงานให้เช่า และที่อยู่อาศัย ส่วนนิคมอุตสาหกรรมคงต้องรออีก 2-3 ปี ขณะที่การพัฒนาไลฟ์สไตล์มอลล์นั้นขึ้นอยู่กับจังหวะและโอกาส
ล่าสุด สิงห์ เอสเตท ได้ซื้อที่ดินทำเลดีอีก 3 แปลง คือ
1.ที่ดินริมถนนรัตนาธิเบศร์ ติดรถไฟฟ้าสายสีม่วง สถานีบางรักใหญ่ ก่อนถึงแยกบางพลู เนื้อที่ 3-4 ไร่ เพิ่งซื้อเมื่อ 6 เดือนก่อน
2.ที่ดินแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง ติดศูนย์การค้าเซ็นทรัล รัตนาธิเบศร์
3.ที่ดินติดสิงห์เบียร์เฮ้าส์ อโศก เกือบ 1 ไร่ ซื้อมาราคาตารางวาละ 7-8 แสนบาท
ถือเป็นโครงการใหญ่ที่ต้องสร้างความแตกต่างและจุดขาย เพื่อสร้างความจดจำในแบรนด์ “สิงห์ เอสเตท” ต่อไป
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ