จากประกาศของกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ยาสามัญประจำบ้าน แผนปัจจุบัน (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2550 ระบุว่ารายการยาสามัญประจำบ้านแผนปัจจุบันมีทั้งสิ้น 52 รายการ แบ่งเป็นกลุ่มยาบรรเทาปวดลดไข้ กลุ่มยาแก้แพ้ – ลดน้ำมูก กลุ่มยาแก้ไอ ขับเสมหะ กลุ่มยาดมหรือยาทาแก้วิงเวียน – หน้ามืด – คัดจมูก กลุ่มยาแก้เมารถ – เมาเรือ กลุ่มยาสำหรับโรคปาก และลำคอ กลุ่มยาแก้ปวดท้อง – ท้องอืด – ท้องขึ้น – ท้องเฟ้อ กลุ่มยาแก้ท้องเสีย กลุ่มยาระบาย กลุ่มยาถ่ายพยาธิลำไส้ กลุ่มยาสำหรับโรคตา กลุ่มยาสำหรับโรคผิวหนัง กลุ่มยารักษาแผลติดเชื้อไฟไหม้ น้ำร้อนลวก กลุ่มยาใส่แผล ยาล้างแผล และกลุ่มยาบำรุงร่างกาย ซึ่งเป็นยาที่ไม่ต้องมีใบสั่งยาจากแพทย์หรือเป็นยาที่ไม่ทำให้เกิดอันตรายต่อผู้มีโรคประจำตัว อาทิ ความดันโลหิตสูง โรคเกี่ยวกับหัวใจ ที่อาจเป็นเหตุให้เสียชีวิตได้
แต่คนทั่วไปอาจไม่คาดคิดว่า ยาสามัญประจำบ้าน เองก็มีข้อควรระวังเหมือนกัน ใช่ว่าจะใช้เป็นประจำแล้วจะส่งผลดี แม้ว่าคุณสมบัติจะช่วยบรรเทาอาการป่วยก็ตามเถอะ มาดูกันว่ายาสามัญประจำบ้านกลุ่มใดเสี่ยง เพราะอะไร…
- กลุ่มยาแก้ไอและขับเสมหะ ต้องระวังส่วนประกอบอย่างสาร Codeine ที่มีฤทธิ์ช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น และหากรับประทานไปนาน ๆ หรือรับมากเกินไป จะส่งผลให้เกิดอาการติดยาขึ้นมา ข้อแนะนำคือไม่ควรรับประทานติดต่อเกิน 5 วัน หรือเลือกดื่มน้ำให้มากและอมยาแก้ไอสมุนไพรแทน
- กลุ่มยาระบาย สาร natriumpicosulfate ในยากลุ่มนี้จะทำให้ลำไส้เคลื่อนไหวและขจัดของเสีย แต่ก็จะทำให้ลำไส้ขี้เกียจยิ่งขึ้นเพราะมีผู้ช่วย ข้อแนะนำก็คือ ไม่ควรกินยาถ่ายเกิน 4 วันและควรได้รับการแนะนำจากแพทย์ดีกว่า หรือเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารให้เป็นระบบมากขึ้น โดยรับประทานผักและผลไม้ที่มีกากใยสูง ๆ ลดอาหารจำพวกแป้ง น้ำตาล และเนื้อสัตว์ลง หรือรับประทานยาระบายจากสมุนไพร อาทิ ใบขี้เหล็ก ในรูปแบบแคปซูลที่หาซื้อได้ง่ายตามร้านสะดวกซื้อ หรือไม่อาจกินเม็ดแมงลักเพื่อใช้เป็นยาระบายเพิ่มกาก โดยใช้เม็ดแมงลัก 1-2 ช้อนชา แช่น้ำหนึ่งแก้วจนพองตัวเต็มที่ กินก่อนนอน ถ้าเม็ดแมงลักพองตัวไม่เต็มที่จะทำให้ท้องอืดและอุจจาระแข็ง เม็ดแมงลักที่พองตัวเต็มที่จะเพิ่มปริมาณอุจจาระและทำให้อุจจาระอ่อนตัวกว่าปกติ
หนทางที่ดีคือการดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ ออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อให้อวัยวะภายในแข็งแรง เลือกรับประทานอาหารที่ดี มีประโยชน์ และอร่อย และดื่มน้ำ 2-3 ลิตรต่อวัน หมั่นสังเกตตัวเองว่าเกิดความผิดปกติใดขึ้นหรือไม่ เพื่อรีบแก้ปัญหาสุขภาพด้วยวิถีธรรมชาติก่อนเลย