ใครที่สนใจข่าวเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมในช่วงนี้จะต้องเคยได้ยินถึงข่าวการรั่วไหลของนำ้มันดิบ กลางทะเลบริเวณมาบตาพุด จ.ระยอง ในช่วงกลางคืนของวันที่ 25 มกราคมที่ผ่านมาซึ่งกำลังสร้างความเสียหายให้กับสิ่งแวดล้อมอย่างมากเพราะขณะนี้น้ำมันดิบที่รั่วไหลออกมากำลังลอยกระจายตัวออกมาเรื่อยๆ และกำลังเข้าสู่ชายฝั่งแล้ว
วันนี้ดอทจึงมานำเสนอเกี่ยวกับความเสียหายนอกจากที่เรามองเห็นแล้วโลกจะได้รับกับผลของน้ำมันดิบรั่วไหลครั้งนี้อย่างไรบ้าง
ทำร้ายสัตว์น้ำในพื้นที่
นับเป็นสิ่งมีชีวิตที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดเลยทีเดียวเพราะสัตว์ที่อาศัยอยู่ในน้ำจะสัมผัสต่อสิ่งปนเปื้อนได้ง่ายซึ่งอาจทำให้เป็นโรคเพราะมีสารพิษสะสมอยู่ในตับและอวัยวะอื่นๆ โดยน้ำมันที่หนาจะสามารถจมลงสู่มหาสมุทรได้ซึ่งอาจทำให้สัตว์น้ำเข้าใจผิดว่าเป็นอาหารได้
นอกจากปลาแล้วยังมีห่วงโซ่อาหารที่อยู่เหนือกว่าปลาอย่างนกและมนุษย์ที่อาจได้รับสารพิษเข้าไป ยิ่งไปกว่านั้นน้ำมันที่ลอยอยู่บนผิวน้ำหรือบริเวณชายฝั่งจะสร้างความลำบากในการขยับตัว เพราะเมื่อขนนกถูกชะโลมไปด้วยน้ำมันแล้วก็จะทำให้ฉนวนบนขนนกลดลง ขนไม่สร้างความอบอุ่นให้ร่างกายอีกต่อไป ซึ่งเหตุการณ์นี้สามรรถเกิดกับสัตว์น้ำที่มีขนอย่าง นากทะเลและแมวน้ำได้ด้วย
ปะการังเกิดการฟอกขาว
หากน้ำมันรั่วไหลไปสู่แนวปะการังแล้ว สารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่เป็นพิษจะมาฟอกขาวปะการังและทำให้พวกมันตายในที่สุด ซึ่งจะสร้างผลกระทบอีกทอดหนึ่งต่อระบบนิเวศในท้องทะเล โดยจะทำให้ความหลากหลายทางชีวภาพในท้องทะเลลดลง สัตว์ทะเลหลายชนิดจะเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ เพราะนอกจากสารเคมีจากน้ำมันแล้วปะการังฟอกขาวยังมีสาเหตุอื่นร่วมด้วย
แต่หากเรารักษาสภาพแวดล้อมทางทะเลได้ดี ปะการังฟอกขาวที่ตายแล้วยังสามารถกลับมามีชีวิตอย่างแข็งแรงด้วยการฟื้นฟูตัวเองตามธรรมชาติโดยจะใช้เวลาราว 25-30 ปีด้วยกันซึ่งนับว่าไม่ใช่เวลาที่สั้นเลย
สร้างความเสียหายให้กับระบบนิเวศน์รอบชายฝั่ง
เมื่อมีการรั่วไหลของน้ำมันเกิดขึ้นกระแสน้ำส่วนหนึ่งจะพัดพาเอาน้ำมันเหล่านั้นขึ้นมาบนฝั่งซึ่งทำให้พื้นที่ชายหาดเต็มไปด้วยคราบน้ำมันมากมายซึ่งนอกจากจะส่งผลกระทบต่อผู้คนที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นต้องสูดดมเอามลพิษเข้าไปแล้ว ยังส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บริเวรชายหาดและน้ำตื้นด้วย
ตัวอย่างเช่น ปูหรือหอยที่อาศัยอยู่ในทราย เมื่อโดนน้ำมันที่มีความเข้มข้นสูงเข้าก็สามารถตายได้เลย ในปริมาณที่น้อยกว่าก็ยังเป็นอันตรายอยู่ดี ซึ่งสัตว์เล็กๆ เหล่านี้มีความสำคัญอย่างมากเพราะอยู่ในจุดต่ำสุดของห่วงโซ่อาหาร
ลดออกซิเจนและแสงแดดในน้ำ
แม้จะเป็นสัตว์น้ำแต่ออกซิเจนก็ยังเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากสำหรับสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไม่ว่าจะเป็นปลาหรือพืชทะเลก็ตาม รวมไปถึงปะการังด้วยเช่นกัน แต่การรั่วไหลของน้ำมันซึ่งส่วนใหญ่จะลอยตัวอยู่ที่ชั้นผิวน้ำทำให้ปิดกั้นแสงแดดและการเข้าถึงออกซิเจน ส่งผลให้ระบบนิเวศเสียหายได้
เมื่อพืชทะเลไม่สามารถได้รับแสงแดดการเติบโตก็จะหยุดชะงักบวกกับสารพิษที่เข้ามาจะทำให้มันตายในที่สุด ปลาที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นก็จะไม่มีอาหารและอพยพออกไป โดยอาจพกเอาสารเคมีติดตัวไปด้วยจนเกิดเป็นโรคที่ใช้เวลายาวนานกว่าจะหาย
สร้างความเสียหายยาวนานกว่า 20 ปี
เมื่อเกิดการรั่วไหลของน้ำมันขึ้น การเก็บกลับขึ้นมาทั้งหมดเรียกว่าเป็นไปไม่ได้เลยดังนั้นไม่ว่าจะมากหรือน้อยย่อมส่งผลต่อระบบนิเวศในทะเลอย่างแน่นอน ซึ่งเมื่อมีการกระทบต่อกันเป็นทอดเชื่อมถึงกันทุกห่วงโซ่อาหารแล้วการหลีกเลี่ยงความเสียหายก็ทำได้ยาก ยิ่งเมื่อรั่วไปแล้วสิ่งที่มนุษย์สามารถทำได้มีเพียงการแก้ไขปลายทางเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนใหญ่เป็นธรรมชาติที่ต้องฟื้นฟูตัวเองกลับมาจึงใช้เวลายาวนาน ซึ่งหากมีการรั่วไหลมากอาจใช้เวลามากกว่า 20 ปีเพื่อให้ธรรมชาติกลับมาดีเหมือนเดิมอีกครั้ง
ความน่ากลัวของการรั่วไหลของน้ำมันดิบคือการสร้างความเสียหายต่อกับเป็นทอดๆ ไม่มีใครในวงจรสามารถหลุดรอดจากปัญหานี้ไปได้เพราะทุกสิ่งมีชีวิตบนโลกต่างเชื่อมถึงกันทั้งหมด สำหรับมนุษย์ที่อาศัยอยู่บริเวณชายทะเลเองก็ต้องระมัดระวังการสูดดมเอาสารพิษเข้าปอดหรือการสัมผัสกับสารพิษจากน้ำมันดิบด้วย
ที่มา : https://www.bbc.com/thai/international-53762239