เวลานี้ตลาดอสังหาริมทรัพย์กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ครึ่งแรกมีโครงการที่อยู่อาศัยเหลือเพิ่มขึ้น ทั้ง บ้านจัดสรร และ คอนโดฯ จากกำลังซื้อลดลง มีโครงการเหลือขายเพิ่มขึ้น 11.8% มากถึง 152,149 หน่วย มูลค่า 669,670 ล้านบาท และพบว่าที่อยู่อาศัยครึ่งแรกปี 62 ซบเซาอย่างหนักคาดว่าตลอดปีจะติดลบ 5-7 % รัฐต้องรีบทำอะไรสักอย่างถ้าไม่รีบหวั่นลากยาวต่อเนื่อง ยันปี 63 แน่นอน
บ้านจัดสรรและคอนโดฯเหลือขายพุ่งกว่า 1.5 แสนหน่วย ปีนี้อาจติดลบ 5-7 %
นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยถึง ภาพรวมอุปทานโครงการที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ – ปริมณฑล ช่วงครึ่งแรกปี 2562 เพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมา ทั้งโครงการบ้านจัดสรรและอาคารชุด เนื่องจากอัตราการดูดซับหรือการซื้อที่อยู่อาศัยลดลงทุกประเภท
โดยเฉพาะทาวน์เฮ้าส์อัตราดูดซับต่อเดือนลดลงมากที่สุด 1.0 % ส่งผลให้ครึ่งแรกปี 2562 มีโครงการที่อยู่อาศัยรอการขายรวม 1,670 โครงการ เพิ่มขึ้นคิดเป็น 11.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมา มีหน่วยเหลือขาย 152,149 หน่วย มูลค่าเหลือขาย 669,670 ล้านบาท เพิ่มขึ้นคิดเป็น 15.4 % และ28.2 % ตามลำดับ จากที่ช่วงครึ่งแรกปี 2561 โครงการอยู่ระหว่างขาย 1,494 โครงการ มีจำนวนหน่วยเหลือขาย 131,819 หน่วย มีมูลค่าเหลือขาย 522,436 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น
1.บ้านจัดสรร 1,137 โครงการ เหลือขาย 87,180 หน่วย คิดเป็นมูลค่าเหลือขาย 404,369 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2561 สัดส่วน 9.2 % , 16.3% และ 22.3 % ตามลำดับ เทียบกับครึ่งแรกปี 2561 มี 1,041 โครงการ เหลือขาย 74,976 หน่วย มีมูลค่าเหลือขาย 330,752 ล้านบาท
2.คอนโดหรืออาคารชุด 533 โครงการ เหลือขาย 64,969 หน่วย คิดเป็นมูลค่าเหลือขาย 265,301 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2561 17.7 % , 14.3% และ 38.4 % ตามลำดับ เทียบกับช่วงครึ่งแรกปี 2561 มี 453 โครงการ เหลือขาย 56,843 หน่วย มีมูลค่าเหลือขาย 191,683 ล้านบาท
รัฐควรออกมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อบ้านโดยด่วน
นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ขอให้รัฐบาลรีบพิจารณาออกมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อที่อยู่อาศัยในรูปแบบของมาตรการช่วยลดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ซื้อบ้านสามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้ เพราะจะช่วยสร้างความรู้สึกอยากซื้อบ้าน ส่วนมาตรการดูแลการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังมีความจำเป็น เพราะระยะยาวจะส่งผลดีมากกว่า ส่วนสาเหตุที่ขอให้รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อที่อยู่อาศัย
เนื่องจากภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ ในช่วงครึ่งแรกปี 2562 (ม.ค.-มิ.ย.) ยอดขายตกต่อเนื่อง มีโครงการเหลือขายเพิ่มขึ้น หากไม่มีมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อออกมาภาวะซบเซานี้จะต่อเนื่องไปในช่วงครึ่งหลังปีนี้ และส่งผลให้ภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ไทยตลอดปี 2562 จะติดลบ 5-7% ซึ่งถือเป็นการปรับฐานกลับไปสู่ปี 2560 และภาวะซบเซาจะต่อเนื่องไปในปี 2563 โดยมีสาเหตุหลักมาจากเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจในประเทศชะลอตัวลง ประชาชนจึงไม่มั่นใจที่จะก่อหนี้ผูกผันระยะยาว และผลจากการออกมาตรการดูแลการซื้อบ้านหลังที่ 2 ของ ธปท. การซื้อบ้านหลังที่ 2 จึงลดลง 20-30 % รวมถึงเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ส่งผลให้กำลังซื้อที่อยู่อาศัยของต่างชาติ เช่น จีน ลดลง
“ขณะนี้ห่วงโครงการอาคารชุดที่ยังมีจำนวนหน่วยเหลือขายมากเป็นภาระผู้ประกอบการ ส่วนบ้านแนวราบราคา 2-3 ล้านบาท จนถึงไม่เกินหลังละ 5 ล้านบาทยังขายได้ สำหรับโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกหรืออีอีซี ส่งผลให้ภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดชลบุรี ระยอง ดีขึ้น ขณะที่จังหวัดฉะเชิงเทรายังไม่กระเตื้อง ส่วนโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน คาดว่าจะช่วยให้ภาคอสังหาริมทรัพย์คึกคักบางพื้นที่ที่รถไฟวิ่งผ่าน” นายวิชัย กล่าว
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
อนุทินลั่น ใครบอกรัฐเอาใจ CP ยอมแก้สัญญารถไฟไฮสปีด ทำไปจ่ายไป
พล.อ.ประวิตร ตัวการสําคัญที่ทำให้นักท่องเที่ยวจีนไม่มาไทยจริงหรือ…?