ผลประกอบการ ปี 60 รายได้เพิ่มขึ้น 13,000 ล้านบาท ยอดขายโต กว่า 34,900 ล้านบาท
นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ประสบความสำเร็จสูงเกินคาดจากแผนการดำเนินงานที่ตั้งไว้ และสามารถสร้างสถิติสูงสุดทั้งการเปิดโครงการใหม่ ยอดขาย และรายได้ โดยมูลค่าโครงการใหม่เป็นสถิติสูงสุดกว่า 42,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 105% จากปีก่อน พร้อมมียอดขายที่เป็นสถิติสูงสุดในระดับ 34,920 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 39% จากปีก่อน และรายได้เป็นสถิติสูงสุดในระดับ 12,950 ล้านบาท เพิ่มสูงขึ้น 6% จากปีก่อน พร้อมทั้งบริษัทฯ มียอดขายรอรับรู้รายได้ (แบ็คล็อค) กว่า 53,700 ล้านบาท รองรับการโอนใน 3 ปีข้างหน้า และเพิ่มขึ้น 30% จากสิ้นปีก่อน
บริษัทฯ มีรายได้รวม 12,950 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ประกอบด้วยรายได้จากการขาย อสังหาริมทรัพย์ 8,932 ล้านบาท รายได้อื่น 4,018 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่มาจากรายได้จากโครงการร่วมทุน และรายได้จากงานก่อสร้างโครงการภายนอกบริษัทฯ ทั้งนี้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 1,328 ล้านบาท ลดลง 12% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยส่วนใหญ่มาจากการเปิดโครงการใหม่ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญจากปีก่อน
ในปี 2560 บริษัทฯ ได้เปิดตัวโครงการ คอนโดมิเนียม 11 โครงการ และโครงการแนวราบ 5 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 42,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 105% จากปีก่อน และจากการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ 11 โครงการ ด้วยมูลค่าโครงการกว่า 36,600 ล้านบาท ส่งผลให้ในปี 2560 บริษัทฯ เป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เปิดตัวคอนโดมิเนียมสูงที่สุดในประเทศ ในไตรมาส 4 บริษัทฯ ได้เปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่ 2 โครงการ มูลค่าโครงการกว่า 8,400 ล้านบาท ประกอบด้วย ไอดีโอ โมบิ พระราม 4 มูลค่าโครงการกว่า 5,000 ล้านบาท เป็นคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าสถานีคลองเตย และเอลลิโอ เดล มอสส์ มูลค่าโครงการกว่า 3,400 ล้านบาท ติดรถไฟฟ้าสถานีเสนานิคม บริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายได้ถึง 9,800 ล้านบาท ในไตรมาส 4 สูงกว่าเป้าที่วางไว้ที่ระดับกว่า 7,500 ล้านบาท ถึง 31% โดยยอดขายดังกล่าวมาจากความไว้วางใจในแบรนด์และความต้องการซื้อจากลูกค้าที่ดีกว่าคาด
ในปี 2560 บริษัทฯ ได้ขยายการขายในต่างประเทศอย่างต่อเนื่องจากการขายครั้งแรกในเดือนกันยายน 2556 บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการขายไปยังต่างประเทศจากโครงการใหม่ และโครงการที่เปิดขายไปก่อนหน้า ด้วยมูลค่าการขายถึง 9,775 ล้านบาท ในปี 2560 เพิ่มสูงขึ้นถึง 164% จากปีก่อน พร้อมการขายไปยังลูกค้าใน 38 ประเทศ ส่งผลให้บริษัทฯ ก้าวสู่การเป็นบริษัทฯ ที่มียอดขายต่างประเทศสูงที่สุดในประเทศในปี 2560 ทั้งนี้บริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายรวมในประเทศ และต่างประเทศกว่า 34,900 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 7% และยอดขายสูงที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯ ณ สิ้นปี 2560 บริษัทฯ มียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) กว่า 53,700 ล้านบาท รองรับการโอนใน 3 ปีข้างหน้า และเพิ่มขึ้น 30% จากสิ้นปีก่อน
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังคงรักษาวินัยทางการเงิน และประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจให้เติบโต พร้อมดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิซึ่งหักด้วยเงินสดต่อส่วนทุนอยู่ที่ 0.77 :1 เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายระยะยาวของบริษัทในระดับ 1:1″ นายชานนท์ กล่าว
ในปี 2560 บริษัทฯได้ร่วมทุนเพื่อพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในเขต กรุงเทพมหานคร โดยพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมร่วมทุนร่วมกับมิตซุย ฟูโดซัง เพิ่มเติมอีก 6 โครงการมูลค่ารวมกว่า 25,000 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการไอดีโอ คิว สุขุมวิท 36 โครงการไอดีโอ พระราม 9 ตัดใหม่ โครงการเอลลิโอ เดล เนสต์ โครงการไอดีโอ โมบิ รางน้ำ โครงการเอลลิโอ เดล มอสส์ และโครงการคอนโดมิเนียมใกล้พระราม 9 ซึ่งมีมูลค่าโครงการร่วมทุนรวม 21 โครงการกว่า 95,000 ล้านบาท และเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีโครงการร่วมทุนมากที่สุดในประเทศ
บริษัทฯ มีอัตรากำไรขั้นต้น เพิ่มขึ้นจากปีก่อน แสดงให้เห็นการมีวินัยทางการเงินในการรักษาผลกำไรของบริษัทฯ แม้ว่าอยู่ในช่วงของการเติบโต นอกจากนี้กระแสเงินสดของบริษัทฯ ยังคงมีความแข็งแกร่ง โดย ณ สิ้นสุดไตรมาสยังคงรักษาเงินสดขนาดใหญ่ที่มีมากกว่า 2,000 ล้านบาท บริษัทฯ ยังได้รับการสนับสนุนที่แข็งแกร่งและต่อเนื่องจากสถาบันการเงินชั้นนำ และมีทางเลือกในการจัดหาแหล่งเงินทุนที่หลากหลายเพื่อตอบสนองความต้องการเงินสดของบริษัทฯตลอดทั้งปี ซึ่งสามารถเลือกใช้ได้ตามสถานการณ์
สำหรับแผนดำเนินงานในปี 2561 บริษัทฯ ตั้งเป้ามียอดโอนเติบโตสูงถึง 152% เป็น 38,000 ล้านบาท โดยในปี 2561 บริษัทฯ คาดว่ามีคอนโดมิเนียมที่จะก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มโอน 9 โครงการ เพิ่มเติมจากในปี 2560 ซึ่งมีคอนโดมิเนียมใหม่ที่สร้างแล้วเสร็จ และเริ่มโอน 8 โครงการ
บริษัทฯ มีแผนเปิดโครงการใหม่ในปี 2561 จำนวน 16 โครงการ มูลค่ากว่า 35,100 ล้านบาท โดยเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 8 โครงการ ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนกับมิตซุย ฟูโดซัง 7 โครงการ และโครงการแนวราบ 8 โครงการ โดยตั้งเป้ายอดขายใกล้เคียงกับปีก่อน 35,100 ล้านบาท จาก 34,900 ล้านบาท ในปี 2560 พร้อมเป้าหมายในการรักษาอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนทุนในระดับประมาณ 1:1 สอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาวในการบริหารงานของบริษัทอีกด้วย
ตั้งเป้าหมายในการพัฒนาโครงการร่วมทุนเพิ่มขึ้น
บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายในการพัฒนาโครงการร่วมทุนเพิ่มขึ้น ด้วยมูลค่าโครงการร่วมทุนเกินกว่า 114,000 ล้านบาท ในปี 2561 จาก 95,000 ล้านบาท ในปี 2560 ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถรักษาตำแหน่งผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่าโครงการร่วมทุนสูงที่สุดในประเทศ
จากการรักษาการเติบโตของธุรกิจ และผลการดำเนินงานที่ดี รวมถึงยังรักษาความมีวินัยด้านต้นทุนการดำเนินงาน ทำให้ อนันดาฯ ยังคงครองความเป็นผู้นำคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ และผู้นำในการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ทั้งด้านการออกแบบอาคาร และการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ด้านอื่นๆ ทำให้ยังคงตั้งเป้าเป็นผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมต่อไป ปี 2561 เป็นส่วนหนึ่งของ “4 in 4 Roadmap ระยะเวลาแห่งการเติบโตมากกว่า 4 เท่าใน 4 ปี” โดยบริษัทฯ คาดหวังว่ายอดโอนจะเติบโตเกินกว่า 400% จากระดับกว่า 15,100 ล้านบาท ในปี 2560 เป็น 70,000 ล้านบาท ในปี 2564 ด้วยผลสำเร็จจากเงินลงทุนภายหลังจากการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในปี 2561 บริษัทฯ คาดว่ามีคอนโดมิเนียมที่จะก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มโอน 9 โครงการ เพิ่มเติมจากในปี 2560 ซึ่งมีคอนโดมิเนียมใหม่ที่สร้างแล้วเสร็จ และเริ่มโอน 8 โครงการ
บริษัทฯ มีความภูมิใจเป็นอย่างยิ่งจากการได้รับผลสำรวจจากดัชนีความไว้วางใจในแบรนด์สูงที่สุดสำหรับกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียมในปี 2560 จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (CU-Brand Trust Index in the real estate industry) สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการส่งมอบสินค้า และบริการที่มีคุณภาพให้กับลูกค้า พร้อมรับรู้ได้มายังแบรนด์ของบริษัทฯ อีกด้วย
ทั้งนี้คณะกรรมการบริษัทเตรียมขออนุมัตินำเสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น เพื่อพิจารณาการเพิ่มเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น เป็น 12.75 สตางค์ เพิ่มขึ้น 2% จากปีก่อนหน้านี้ โดยเป็นการเพิ่มเงินปันผลขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปีตั้งแต่มีการเสนอขายหุ้น IPO ของบริษัท
ผลประกอบการทั้งปี
- รายได้รวม: 12,950 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จาก 12,230 ล้านบาท ในปี 2559
- กำไรขั้นต้น: 35% เพิ่มขึ้นจาก 34% ในปี 2559
- ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย: 285 ล้านบาท ลดลงจาก 335 ล้านบาท ในปี 2559
- กำไรสุทธิ: 1,328 ล้านบาท ลดลง 12% จาก 1,501 ล้านบาท ในปี 2559
- อัตรากำไรสุทธิ: 10% ลดลงจากอัตรากำไรสุทธิ 12% ในปี 2559
งบดุล
- เงินสดและรายการเทียบเท่า: 2,063 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 2,683 ล้านบาท ในไตรมาส 4/59
- สินทรัพย์: 29,870 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 25,366 ล้านบาท ในไตรมาส 4/59
- หนี้สิน 16,410 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 14,612 ล้านบาท ในไตรมาส 4/59
- ส่วนของผู้ถือหุ้น 13,460 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 10,754 ล้านบาท ในไตรมาส 4/59
- อัตราหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น 22 เท่า ลดลงจาก 1.36 เท่า ในไตรมาส 4/59
- อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุน 77 เท่า ทรงตัวจาก 0.77 เท่า ในไตรมาส 4/59