เหมือนฟ้าผ่าลงที่กระทรวงการคลัง เมื่อมีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) อังคาร 9 พฤษภาคม 2560 โยกย้ายอธิบดีกรมธนารักษ์ไปเป็นรองปลัดกระทรวง นำไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นเพราะนโยบาย บ้านประชารัฐ นำไปสู่คำถามว่า เกิดอะไรขึ้นกับนโยบายบ้านสำหรับผู้มีรายได้น้อยเวอร์ชั่นรัฐบาล คสช.ที่ครบรอบนโยบาย 1 ปีพอดี
ยอดขอกู้ทะลักแต่อนุมัติจิ๊บ ๆ
ย้อนรอยนโยบายบ้านประชารัฐ เปิดตัวครั้งแรกวันที่ 16 ตุลาคม 2559 ทางเจ้าภาพคือกระทรวงการคลังได้เชิญประชุมดีเวลอปเปอร์หลายครั้งประมาณครึ่งปีกว่า และเป็นมติ ครม.ครั้งแรกเมื่อ 22 มีนาคม 2559 ให้เริ่มต้นนับ 1 โครงการ
ล่าสุดมีมติ ครม.ครั้งที่ 2 วันที่ 18 เมษายน 2560 ปรับปรุงเงื่อนไขบางประการเพื่อหวังจะเดินหน้าโครงการให้สำเร็จ แต่หลังจากนั้นก็มีมติ ครม.ครั้งที่ 3 เมื่อ 9 พฤษภาคมในการโยกย้ายข้าราชการระดับสูง เป็นการส่งสัญญาณเปลี่ยนตัวคนของภาครัฐที่จะมารันโครงการต่อไป
โดยมติ ครม.ครั้งแรก อนุมัติหลักการ ดังนี้
1.ต้องซื้อเป็นบ้านหลังแรก (ป้องกันนายทุนซื้อคนละ 10 หลัง)
2.ราคาอสังหาริมทรัพย์ 7 แสน-1.5 ล้านบาท
3.รัฐมีวงเงินสินเชื่อ 70,000 ล้านบาท ครอบคลุมการสร้างบ้านเอง ซื้อบ้านจัดสรร สร้างบนที่ดินรัฐ (กรณีข้าราชการ) ซื้อทรัพย์ NPA รวมทั้งให้กู้ซ่อมแซม-ต่อเติม (ช่วยข้าราชการชั้นผู้น้อยกรณีอยู่บ้านพักราชการ) วงเงินไม่เกิน 5 แสน
4.แบ่งสินเชื่อรัฐบาล 70,000 ล้านบาท เป็น 2 ก้อนให้กับสินเชื่อพรีไฟแนนซ์ 30,000 ล้านบาท ดอกเบี้ย 4% ผ่านธนาคารรัฐ “ธอส.-ออมสิน-กรุงไทย” ปล่อยกู้ผู้ประกอบการนำไปใช้พัฒนาโครงการ ผลดำเนินการในรอบ 1 ปี พบว่ามีผู้ประกอบการขอกู้ 4 ราย รวม 395 ล้านบาท ขณะที่ได้รับอนุมัติสินเชื่อ 3 ราย รวม 257 ล้านบาท
5.สินเชื่อรัฐบาลอีก 40,000 ล้านบาท ปล่อยสินเชื่อโพสต์ไฟแนนซ์ผ่าน 2 ธนาคารรัฐ “ธอส.-ออมสิน” อัตราดอกเบี้ยพิเศษ 0% 1 ปี ตกผ่อนเดือนละ 3,000 บาท ถ้ากู้ไม่เกิน 7 แสนบาท และกู้ 7 แสน-1.5 ล้าน มีดอกเบี้ย 3% 3-6 ปี สูงสุดผ่อน 8,600 บาท/เดือน
6.ลดเงื่อนไข DSR (Debt Service Ratio) เกณฑ์พิจารณาจากหนี้สินต่อรายได้จาก 30-35% เป็น 50% หมายความว่าเดิมมีรายได้ 100 บาท มีหนี้ไม่เกิน 30-35 บาท จึงกู้ผ่าน ปรับเป็นมีหนี้ได้ถึง 50 บาทก็ยังกู้ผ่าน หวังแก้ปัญหากู้ไม่ผ่านเพราะแบงก์เข้มงวดปล่อยสินเชื่อ
แต่ผลดำเนินงานรอบ 1 ปี สินเชื่อโพสต์ไฟแนนซ์ 40,000 ล้านบาท มียอดขอกู้ 36,394 ราย วงเงินรวม 36,459 ล้านบาท แต่อนุมัติจริง 13,631 ราย วงเงินรวม 11,335 ล้าน หรือแค่ 1 ใน 4 เท่านั้น ไร้มาตรการดึงเอกชนร่วม
สารพัดปัญหาคลื่นใต้น้ำจึงได้มีมติ ครม. 18 เมษายน 2560 อนุมัติหลักการ ดังนี้
1.ปรับเงื่อนไขบ้านหลังแรก จากเดิมตรวจสอบว่าเคยมีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ถือว่าผ่านการมีบ้านหลังแรกแล้ว มาเป็นต้องไม่มีบ้านหลังแรกในขณะขอสินเชื่อ (อาจขายไปแล้วหรือยกให้ครอบครัว)
2.กรณีกู้สร้างบ้านบนที่ดินตัวเอง เดิมเพดานสินเชื่อ 1.5 ล้านให้รวมค่าที่ดิน ปรับเป็นไม่ต้องรวมค่าที่ดิน
3.บ้านประชารัฐแบบเช่ามี 2 เวอร์ชั่น คือ สัญญาระยะสั้น เดิมระบุผู้เช่าเจ้าหน้าที่รัฐต้องไม่มีบ้านมาก่อน แก้เป็นรายได้ไม่เกินเดือนละ 20,000 บาท กับสัญญาระยะยาว ปรับปรุงเงื่อนไขผู้มีสิทธิ คือ เจ้าหน้าที่รัฐ+ประชาชนที่ไม่มีกรรมสิทธิ์บ้านเป็นของตนเอง
ข้อสังเกตคือ การปรับเกณฑ์เงื่อนไขบ้านประชารัฐ ยังจำกัดวงเพียงแค่โครงการที่พัฒนาบนที่ราชพัสดุ ซึ่งมีผลทำให้ต้องซื้อบ้านประชารัฐแบบสิทธิการเช่า เพราะโอนกรรมสิทธิ์ไม่ได้
ในขณะที่คีย์ซักเซสน่าจะมาจากการสร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชนเข้าร่วม อาทิ ผ่อนคลายกฎระเบียบพัฒนาโครงการ, สนับสนุนสินเชื่อทั้งโพสต์และพรีไฟแนนซ์ วงเงินตอนนี้อาจยังไม่ต้องเพิ่มแค่หาทางทำยังไงให้อนุมัติสินเชื่อก็พอ เพราะความต้องการใช้สินเชื่อเยอะแต่กู้ไม่ผ่าน โดยเฉพาะยอดปฏิเสธสินเชื่อกลุ่มราคาบ้านประชารัฐสูงถึง40-45%ในปัจจุบัน
ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก prachachat.net
อ่านหน้า 2
ต้องการซื้อ-เช่า !!!คอนโดมือสอง บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ ที่ดินทั่วไทยมากกว่า 300,000 รายการคลิ๊กที่นี่
ลงประกาศขาย-ให้เช่า ฟรี !!! คอนโดมือสอง บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ ที่ดินกับ Dot Property ขายง่าย ขายไว ไม่มีค่าใช้จ่ายลงประกาศเลย