ส่อเค้าเลื่อนการบังคับใช้ ภาษีที่ดิน กฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง หลังจากที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ร่างกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ได้ขยายระยะเวลาการพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าวใน “วาระที่ 1” ออกไปเป็นสิ้นเดือนก.ย.นี้ จากเดิมมีกำหนดจะพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในก.ค.ที่ผ่านมา โดยการเลื่อน ระยะเวลาครั้งนี้ ถือเป็นครั้งที่ 8 นับจาก คณะกรรมาธิการรับหลักการของร่างกฎหมายเมื่อวันที่ 30 มี.ค.2560
ภาษีที่ดิน ส่อเลื่อนใช้ปี 63 เหตุเพราะหน่วงงานรัฐไม่พร้อม
นอกจากนี้ การปรับปรุงร่างฯ เพื่อลดกระแสการต่อต้านและทำให้เกิดการยอมรับของทุกฝ่าย โดยเฉพาะกลุ่มนายทุนที่มีทรัพย์สินจำนวนมากก็เป็นหนึ่งในสาเหตุของความล่าช้า ยกตัวอย่าง ประเด็นเรื่องมูลค่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ได้รับยกเว้นควรอยู่ในระดับใด ขณะนี้ ก็ยังไม่ตกผลึกระหว่างไม่เกิน 20 ล้านบาท หรือ ไม่เกิน 50 ล้านบาท โดยยังไม่นับรวมเรื่องการกำหนดอัตราการจัดเก็บจริงที่เป็นประเด็นถกเถียงกันมากในช่วงที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี ด้วยแนวทางการจัดเก็บที่ใช้ ราคาประเมินของกรมที่ดินเป็นฐานในการจัดเก็บภาษี ถือเป็นการปิดช่องโหว่ของการเลี่ยงภาษีตามกฎหมายภาษีโรงเรือนและที่ดินและกฎหมายภาษีบำรุงท้องที่ ที่เดิมจะคิดบนฐานค่าเช่า ซึ่งจะขึ้นอยู่กับดุลพินิจ เสียส่วนใหญ่ ประกอบกับ การกำหนดให้มีการจัดเก็บภาษีสำหรับที่ดินรกร้างว่างเปล่า ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นของนายทุนและนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เก็งกำไรในที่ดินจากเดิมที่ไม่ต้องเสียภาษี ดังนั้น จึงอาจเป็นสาเหตุสำคัญต่อการต่อต้านกฎหมายนี้
ทั้งนี้ รัฐบาลพยายามผลักดันให้มีการบังคับใช้ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อการจัดเก็บภาษีและลดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม โดยยกเลิกกฎหมายภาษีโรงเรือนและที่ดินและ กฎหมายภาษีบำรุงท้องที่ที่มีข้อบกพร่อง อยู่มากจากโครงสร้างอัตราภาษีและ เกณฑ์การลดหย่อนที่ไม่สอดคล้องกับ ภาวะปัจจุบัน ส่งผลให้ท้องถิ่นไม่สามารถจัดเก็บรายได้เพียงพอต่อการดำเนินภารกิจ
เลื่อนการบังคับใช้ ออกไปเป็น 1 ม.ค.2563 แทนที่จะปล่อยผ่านให้เปลี่ยนรัฐบาล
“วิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างระบุว่า การบังคับใช้ กฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจะเกิดขึ้น ได้ทันในปี 2562 หรือไม่ ขึ้นอยู่กับความพร้อม ของหน่วยงานที่จะเข้าจัดเก็บภาษี โดยเฉพาะท้องถิ่นต่างๆ ที่จะเป็นผู้ที่เข้าไปสำรวจ สิ่งปลูกสร้างที่อยู่ในข่ายต้องเสียภาษี และ หน่วยงานที่จะทำหน้าที่ประเมินภาษี ดังนั้นในระหว่างนี้ หน่วยงานดังกล่าว จะต้องมีการซักซ้อมแนวทางปฏิบัติให้เกิด ความเข้าใจและชัดเจน เมื่อพร้อมแล้ว ก็เชื่อว่า กฎหมายจะมีผลบังคับใช้ได้ทันในปี 2562 แต่หากไม่พร้อม ทางคณะกรรมาธิการ ก็ต้องหาทางออกอื่น
“เรากำลังตรวจสอบความพร้อมของหน่วยงานทั้งหลายที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็น ท้องถิ่น กทม.เพราะว่า เมื่อกฎหมาย ยังไม่มีผลบังคับใช้ การเข้าไปในเคหสถานของเขา เพื่อสำรวจสิ่งปลูกสร้าง ประเภท ของการใช้ประโยชน์ และขนาดของ สิ่งปลูกสร้างที่อยู่ฐานภาษี ก็ยังทำไม่ได้ ฉะนั้น ก็จะเชิญท้องถิ่นขนาดใหญ่ เช่น กรุงเทพมหานคร และ ท้องถิ่นที่มีฐานภาษี เยอะๆ มาซักซ้อมถึงความพร้อม”
สำหรับเพดานอัตราภาษีนั้น ทางคณะกรรมาธิการได้ปรับลดเพดานภาษีลงประมาณ 40% จากร่างเดิม โดยที่ดินเกษตรกรรม ลดลงเหลือ 0.15% จาก 0.2% ที่อยู่อาศัย 0.3% จาก 0.5% อื่นๆ นอกจากเกษตรฯ และที่อยู่อาศัย 1.2% จาก 2% และที่ทิ้งไว้ ว่างเปล่าหรือไม่ได้ทำประโยชน์ 1.2% (เพิ่ม 0.3% ทุก 3 ปี แต่ไม่เกิน 3%) จาก 2% (เพิ่มขึ้น 0.5% ทุก 3 ปี แต่ไม่เกิน 5%) ส่วนอัตราจัดเก็บจริง จะมีบัญชีแนบท้าย เพื่อจัดเก็บภาษีใน 2 ปีแรก และปีที่ 3 เป็นต้นไป ให้เป็นไปตามร่างกฎหมายที่เสนอ
ทั้งนี้ ผู้ที่มีหน้าที่เสียภาษีดังกล่าว คือ เจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และ จัดเก็บภาษี จากฐานมูลค่าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ทั้งนี้ การคำนวณมูลค่าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างได้กำหนดให้นำราคาประเมินทุนทรัพย์ของ ที่ดิน ราคาประเมินทุนทรัพย์ของสิ่งปลูกสร้าง และราคาประเมินทุนทรัพย์ของห้องชุด ของกรมธนารักษ์มาใช้คำนวณ
ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ