ไทยหมดความน่าเชื่อถือจากนักลงทุน ไม่เว้นแม้แต่ภาคอสังหาริมทรัพย์

หลังจากที่การประกาศปลดรักษาการณ์นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ออกมาเมื่อวันที่  7 พ.ค. 57 นั้น นอกจากจะทำให้ตลาดหุ้นมีความผันผวนแล้ว วันนี้ยังมีข่าวถึงการถอนการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติออกมาอีก ทำให้หลายๆคนเริ่มมองว่าอนาคตเศรษฐกิจไทยจะไปในทิศทางไหน และสำนักวิเคราะห์วิจัยต่างๆทั้งไทยและต่างชาติต่างมีแนวคิดไปในทางเดียวกันว่า ประเทศไทย ถูกลดอันดับลงและมีความไม่น่าเชื่อถือ ไม่น่าลงทุนในขณะนี้ แน่นอนว่าภาคอสังหาริมทรัพย์ ได้รับผลกระทบนี้ด้วยอย่างแน่นอนimagesD49S3LAP

หลังจากที่ได้รับมาตั้งแต่เริ่มเกิดปัญหาทางการเมือง แม้หลายๆคนจะมองว่าไม่น่าเกี่ยวเท่าไหร่ เพราะนักลงทุนที่ถอนออกไปก็ไม่ได้ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ กำลังซื้อก็ยังเน้นคนในประเทศเป็นส่วนมาก และ แม้ว่าค่า  ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยโดยรวมอยู่ที่ระดับ 57.7 ลดลงจากเดือนมีนาคมที่ระดับ 58.7 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสในการทำงานอยู่ที่ระดับ 61.9 ลดลงจากเดือนมีนาคมที่ระดับ 62.9 ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ระดับ 83.8 ลดลงจากเดือนมีนาคมที่ระดับ 84.9 ซึ่งหลายๆคนอาจไม่เข้าใจโดยเฉพาะภาคประชาชน แต่หากในแง่ของนักลงทุน ความผันผวนทางการเมืองและสำหรับประเทศที่ยังมีสภาวะสุญญากาศทางการเมือง ความไม่แน่นอน ความไม่มีเสถียรภาพ นี่คือความเสี่ยงที่จะลงทุน

แม้ว่าเหตุการณ์จะไม่รุนแรงก็ตามที และ เศรษฐกิจยังเคลื่อนไปแบบเรื่อยๆ เพราะโครงการใหญ่ๆต่างหยุดชะงัก มีแค่การเคลื่อนไหวที่ต้องหมุนเวียนตามปรกติ แม้แต่ในส่วนของอสังหาริมทรัพย์เอง ยังมีการขยับตัวแบบกล้าๆกลัวๆ โครงการใหม่ๆบางแห่งก็หนีออกไปเปิดยังต่างจังหวัด หลายแห่งหันมาลุยตลาดจากโครงการที่ยังขายไม่หมด ปรับกลยุทธ์ต่างๆ เพื่อรับมือและเตรียมพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงและรอเวลาฟื้นคืนความคึกคักของตลาดอสังหาริมทรัพย์ และในมุมองของนักลงทุนต่างชาติ หรือ ผู้ประกอบการด้านอสังหาริมทรัพย์ ทีเป็นขาวต่างชาติในเมืองไทยนั้น มีมุมมองที่ไม่แตกต่างจากนักลงทุนไทยนัก เพราะคิดเหมือนกันว่า ต้องรอเวลา รอความชัดเจน  ว่าประเทศไทยจะเดินไปทิศทางไหน จะมีการเลือกตั้งเพื่อมีรัฐบาลใหม่เมื่อไหร่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบในช่วงสั้นๆ แต่ก็ยังมีนักลงทุนบางกลุ่มทียังคงเชื่อมั่นในประเทศไทย ในสภาพเศรษฐกิจ

เพราะหลายคนมองว่า นี่ไม่ใช่ครั้งแรก และ ทุกครั้งก็สามารถผ่านมาได้ และ นักลงทุนบางคนคุ้นชินกับสถานการณ์ในลักษณะนี้ จึงไม่คิดว่าจะมีปัญหาหนักจนถึงขนาดต้องถอนการลงทุนไปทั้งหมด เพียงแค่อาจจะเปลี่ยนรูปแบบการลงทุน อย่างเช่น นักลงทุนอาจเปลี่ยนการลงทุนจากกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ เพื่อขาย อาจเปลี่ยนมาลงทุนในกลุ่มปล่อยเช่าแทน ซึ่งจะยังทำรายได้ให้กับนักลงทุนได้ และ มีอีกหลายคนที่มองว่าการชะลอตัวของนักลงทุนในครั้งนี้ส่งผลในทางบวกเพราะจะทำให้สภาวะบ้านลดตลาดลดลง เพราะผู้ประกอบการเปิดโครงการน้อยลง และ คาดว่าในปีหน้าตลาดรีเซลล์จะกลับมาคึกคัก และ โครงการที่ตกค้างหน้าจะขายออกได้หมดในปีหน้า