คอนโดขายไม่ออก เพราะได้รับผลกระทบเชิงลบมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2562 จากการที่ซัพพลายล้นเกินดีมานด์ ผลพวงที่ส่งผลกระทบมาจากหลากหลายทาง เช่น สงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐอเมริกา ค่าเงินบาทแข็งค่า สถานการณ์ความไม่สงบของเกาะฮ่องกง ตอกย้ำอีกระรอกด้วยด้วยมาตรการ LTV จากธนาคารแห่งประเทศไทย สกัดการเก็งกำไรเงินทอน หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ กำหนดคนซื้อวางเงินดาวน์สูงท่ามกลางกำลังซื้อของการออมเงินของคนในประเทศอ่อนแอ
แม้ปลายปีที่ผ่านมา แบงก์ชาติจะผ่อนปรนมาตรการ LTV ให้พอหายใจได้บ้าง แต่เมื่อก้าวเข้าสู่เดือนมกราคมปี 2563 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ถูกโรคระบาด ไวรัสโคโรนาหรือโควิด -19 ถล่มซ้ำ กระทบรุนแรงฉุดกำลังซื้อคอนโดมิเนียมลดลงอย่างรวดเร็วทำให้ยอดขายในไตรมาสแรกลดลงมากถึง 30% นักวิจัยตลาดอสังหาริมทรัพย์ ประเมินว่าการลดลงครั้งนี้นับเป็นประวัติศาสตร์ในรอบ 8 ปี ตั้งแต่ปี 2555 ที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ เช่นเดียวกับศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ที่ระบุว่า ในไตรมาสแรกนี้กำลังซื้อคนไทยและคนต่างด้าวโดยเฉพาะชาวจีน กลุ่มผู้ซื้อหลักในเขตกรุงเทพฯ – ปริมณฑลหายไปจากตลาด ส่งผลให้ไตรมาส 2 จะเกิดมหกรรมโละสต็อกกระหึ่มขึ้นท่ามกลางความโหดร้ายของไวรัสโควิด-19 โครงการพร้อมอยู่ และ หน่วยที่หมุนเวียนกลับมาขายใหม่ จะมีตัวเลขทั่วประเทศทุกระดับราคาไม่ต่ำกว่า 1-2 แสนหน่วย ในขณะที่ตัวเลขที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ ทั้งบ้านและคอนโดมิเนียมของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธอส.มีมากกว่า 3 แสนหน่วยที่ค้างสต็อก จำนวนที่ขายไม่ได้เลยสำหรับคอนโดมิเนียมและบ้านแนวราบมีจำนวน 6.9 หมื่นหน่วยทั่วประเทศ แยกเป็นคอนโดมิเนียมกว่า 3 หมื่นหน่วย ดังนั้นในไตรมาส 2 ผู้ประกอบการจำนวนกว่า 41.8% ใช้กลยุทธ์ลดราคาคอนโดมิเนียม กับส่วนที่เหลือขายและ คอนโดมิเนียมที่ถูกทิ้งดาวน์ ลูกค้ากู้ไม่ผ่านหมุนเวียนกลับมาขายใหม่ โดยลดราคาขายลงตั้งแต่ 10 – 36.2 % เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา และประเมินว่าเป็นการลดราคาลงของคอนโดมิเนียมเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ปี 2555 ยุคเฟื่องฟู ของตลาดนี้หลังเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่
อ้างอิงจาก : ฐานเศรษฐกิจ
สนใจข้อมูลข่าวสารเด่นๆ คอนเทนท์ร้อน ที่เรานำมาเสิร์ฟให้คุณผู้อ่านในทุกๆวันจาก Dotproperty คลิก
