เกิดปรากฎการณ์ในวงการอสังหาฯ มีนักลงทุนต่างชาติเริ่มบุกเข้าเอเชียมากขึ้น โดยมีการลงทุนกว้านซื้ออาคารสำนักงานทั่วเอเชีย โดยที่ ออสเตเรีย จีน เกาหลี มียอดซื้อมากที่สุด
มีข้อมูลจาก บริษัทวิจัย คุชแมน แอนด์ เวคฟีลด์ ระบุว่ามีปัจจัยสนับสนุนในการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติที่เข้าสู่เอเชียมากขึ้น คือ อัตรดอกเบี้ยโลกที่ต่ำลง และ แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในทิศทางที่ดีขึ้น ทำให้นักลงทุนเริ่มมาหาหนทางสร้างผลกำไร และ สำหรับนักลงทุนที่นิยมการลงทุนในต่างประเทศ เอเชียดูจะเป็นแหล่งการลงทุนที่ดีมีความหลากหลาย และการเติบโตของหลายๆประเทศที่คาดว่าสามารถทำกำไรในการลงทุนได้ และยิ่งกับภาคอสังหาฯที่ในเอเชียนั้นยังขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง และ จะมีการเปิด AEC ทำให้นักลงทุนเริ่มมองว่ามีการเติบโตดังนั้นการจับพื้นที่รอบๆ กลุ่ม AEC หรือ ในประเทศกลุ่ม AEC น่าจะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า
ซึ่งให้มีการลงทุนซื้อพื้นที่อาคารสำนักงานในภูมิภาคเอเชียโดยบรรดากองทุนเหล่านี้เป็นมูลค่ารวมสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 6.16 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือกว่า 1.97 แสนล้านบาท (ข้อมูล ณ ไตรมาส 2 ของปี 2557) ซึ่งมากกว่าสถิติช่วงเดียวกันของปี 2556 มากกว่า 2 เท่า และจากการสำรวจพบว่า ซึ่งมันเปรียบได้กับการเทคะแนนความไว้วางใจ (ของนักลงทุน) ให้กับภูมิภาคนี้ และพวกเขาก็มองว่า เอเชีย-แปซิฟิกคือตลาดแห่งการเติบโตในอนาคต ทั้งนี้ ตลาดอาคารสำนักงานของเกาหลีใต้และออสเตรเลียคือเป้าหมายการลงทุนในระดับต้นๆ โดยผลตอบแทนจากการให้เช่าอาคารสำนักงานจะอยู่ที่ระดับ 5-7% ต่อปีใน 2 ตลาดดังกล่าว
การเข้าซื้ออาคารสำนักงานโดยผู้ลงทุนต่างชาติในประเทศเกาหลีใต้เพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2557 คิดเป็นมูลค่ารวม 1.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มากที่สุดคือในเดือนมิถุนายนที่มีเม็ดเงินลงทุนเข้ามาถึง 497.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯจากการเข้าซื้ออาคารสำนักงานเค ทวิน ทาวเวอร์ ซึ่งเป็นอาคารสูง 22 ชั้นใจกลางกรุงโซล โดยบริษัท เคเคอาร์ แอนด์ โคฯ ร่วมกับบริษัท ลิม แอดไวเซอร์ฯ จากฮ่องกง อีกดีลใหญ่คือการซื้ออาคารเวสต์แพค เพลส ความสูง 33 ชั้นในกรุงซิดนีย์ โดยผู้ซื้อคือบริษัท แบล็คสโตนฯ มูลค่าการลงทุน 403 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นอกจากเกาหลีใต้และออสเตรเลียแล้ว ตลาดอาคารสำนักงานในจีนก็เป็นอีกจุดหมายปลายทางที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจ โดยมูลค่าการซื้อโดยต่างชาติเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าเป็น 931 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทั้งๆที่การซื้อพื้นที่อาคารสำนักงานโดยภาพรวมในจีนลดลงถึง 35%
จากกระแสดังกล่าวน่าจะส่งผลทั้งดีและลบเช่น ทางลบคือการปั่นราคาของอสังหาฯในประเทศนั้นๆที่มีการเข้าซื้อของนักลงทุน ซึ่งอาจจะมีผลต่อค่าเงินซึ่งอาจเกิดภาวะเงินเฟ้อและฟองสบู่แตก ทำให้เกิดวิกฤตทางการเงิน ซึ่งแม้แต่ทางสหรัฐเองก็ยังมีการออกมาเตือนกันล่วงหน้า ส่วนผลดีคือการเติบโตของอสังหาฯในประเทศนั้นๆ ที่เติบโตและรายได้เข้าประเทศ ซึ่งหากมีการเข้ากว้านซื้อในประเทศไทย ก็ได้แต่หวังว่าจะไม่เกิดการปั่นราคาและภาวะเงินเฟ้อ