มาดู นโยบายอสังหาริมทรัพย์ สู้ ‘โควิด’ ทั่วโลกมีอย่างไรบ้าง?

นโยบายอสังหาริมทรัพย์

โรคระบาดจากไวรัสโควิด-19 ทำให้กิจการต่างๆ ต้องหยุดลง หรือชะงัก แม้กระทั่งอาจเจ๊งไปเลยก็มี  ดังนั้นภาครัฐทั่วโลกกต่างเร่งหาทางแก้ไข  มาดูกันว่าในแต่ละประเทศเขามี นโยบายอสังหาริมทรัพย์ กันอย่างไรบ้าง แล้วไทยควรทำอะไรบ้าง มาลองดูกัน

 

ดร.โสภณ พรโชคชัย  ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย และเป็นนายกสมาคมการค้าอสังหาริมทรัพย์สากล (FIABCI) ประจำประเทศไทย ชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลของแต่ละประเทศจำเป็นต้องให้การช่วยเหลือไม่ในทางใดก็ทางหนึ่งหรือในหลายทาง เพราะอสังหาริมทรัพย์แต่ละประเภทอาจได้รับผลกระทบที่แตกต่างกันไป

1.อสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักและรุนแรงที่สุดก็คงเป็นโรงแรม และรีสอร์ทต่างๆ ซึ่งในปัจจุบันคงไม่มีผู้เข้าพักโดยเฉพาะโรงแรมประเภทการท่องเที่ยว (Resort Hotel) แม้แต่โรงแรมธุรกิจในใจกลางเมือง (Business Hotel) หรือโรงแรมเพื่อการจัดสัมมนา (Convention Hotel) ก็ต่างได้รับผลกระทบเป็นอันมาก ทำให้หลายแห่งอาจจำเป็นต้องปิดให้บริการ หรือถึงขั้นขายกิจการ

2.อาคารสำนักงาน ก็คงได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะจำนวนผู้เช่าที่ลดน้อยถอยลงไปจากการทำงานที่บ้าน (Work from Home) ซึ่งเป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้แล้ว ยิ่งอาคารใดที่พบมีผู้ติดเชื้อก็อาจต้องหยุดให้เช่าไประยะหนึ่งเลยทีเดียว อย่างไรก็ตามเจ้าของอาคารก็ยังคงจะ “แข็งแรง” กว่าผู้เช่าหรือผู้เกี่ยวข้องอื่นในวงการอสังหาริมทรัพย์

3.กรณีที่อยู่อาศัย อารมณ์การซื้อขายเช่าที่อยู่อาศัยก็คงลดน้อยหรือหายไประยะหนึ่ง เพราะมีบางส่วนที่ตกงาน ส่วนนายหน้าที่มักเป็นผู้ที่ไม่มีรายได้ประจำก็ย่อมได้รับผลกระทบตามมา ทำให้กระแสเงินสด (Cash-flow) ของโครงการต่างๆ ก็ได้รับผลกระทบตามไปด้วย ไหนยังต้องจ่ายดอกเบี้ยอีกต่างหาก จึงอาจต้องลดแลกแจกแถมกันอุตลุดในระยะนี้ เป็นต้น

 

ระดับโลก: นายวาลิด มูลซา (Walid Moussa) นายกสมาคมการค้าอสังหาริมทรัพย์สากล (FIABCI) ซึ่งเป็นสมาคมอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก กล่าวในภาวะขณะนี้ ต้องให้หยุดการชำระหนี้ เงินต้น ดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมต่างๆ เป็นระยะเวลาหนึ่ง เช่น 3 เดือน 6 เดือน หรือ 1 ปีเพื่อที่จะหยุดภาระของผู้ขอกู้ทั้งหลาย

ในประเทศกัมพูชา: นายชะเร็ก ซกนิม (Chrek Soknim) นายกสมาคมผู้ประเมินค่าทรัพย์สินและนายหน้าประเทศกัมพูชา กล่าวว่าสถาบันการเงินยังควรอำนวยสินเชื่อแก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้โครงการขาดตอน และให้ผู้ซื้อบ้านสามารถมีบ้านได้ (Pre / Post Finance) สถาบันการเงินควรมีสินเชื่อพิเศษที่ให้อัตราดอกเบี้ยต่ำสำหรับในช่วงวิกฤตินี้ ยิ่งกว่านั้นรัฐบาลก็ควรงดเก็บภาษีและค่าธรรมเนียมโอนอสังหาริมทรัพย์ในช่วงนี้

ในประเทศมาเลเซีย: นายบุนพิง ลิ้ม (Lim Boon Ping) รองประธานสมาคม FIABCI มาเลเซีย และนายกสมาคมนายหน้ามาเลเซีย ระบุถึงมาตรการที่ได้เสนอทางราชการไปแล้ว ได้แก่ การงดเก็บภาษีและค่าธรรมเนียมโอนอสังหาริมทรัพย์ การงดเก็บภาษีจากมูลค่าที่เพิ่มขึ้นของอสังหาริมทรัพย์ (Capital Gain Tax) ยิ่งกว่านั้นยังเสนอให้งดเก็บค่าธรรมเนียมการการต่ออายุใบอนุญาตนายหน้าที่รัฐบาลเป็นผู้ควบคุมในปีนี้อีกด้วย

ในประเทศเวียดนาม: นางไหม ลี (Mai Lee) นักวิเคราะห์อสังหาริมทรัพย์ ณ กรุงฮานอย กล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาลเวียดนามยังไม่มีมาตรการใดๆ ช่วยเหลือผู้ซื้อบ้าน นักลงทุน หรือผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในประเทศเวียดนาม และคาดว่าจะไม่มีมาตรการที่ชัดเจนใดๆ ทั้งนี้เพราะตลาดที่อยู่อาศัยในเวียดนามยังเป็นไปสำหรับผู้มีรายได้สูงและนักลงทุนเป็นหลัก ที่อยู่อาศัยหน่วยหนึ่งๆ ในเวียดนามมีราคาเฉลี่ยประมาณ 6 ล้านบาท (แพงกว่าไทย) เพราะยังไม่ได้ลงสู่ตลาดล่าง รัฐบาลจึงอาจยังไม่มีมาตรการช่วยเหลือใดๆ

ในประเทศอินเดีย: นายฟารุก มาห์มูด (Farook Mahmood) นายกสมาคม FIABCI อินเดีย กล่าวว่ารัฐบาลอินเดียพึ่งงดภาษีทุกชนิดที่เกี่ยวเนื่องกับการซื้อ-ขาย หรือให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ในขณะนี้ รวมถึงภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ภาษีป้าย เป็นต้น นายฟารุกยังเน้นให้ธนาคารลดดอกเบี้ยลงมา รวมทั้งลดค่าบริการไฟฟ้าซึ่งเป็นภาระสำคัญประการหนึ่งโดยใช้เวลาประมาณ 12 เดือน

ในประเทศอินโดนีเซีย: นายเมโกะ (Meiko) กรรมการบริหารสมาคมนักพัฒนาที่ดินที่ใหญ่ที่สุดเพียงแห่งเดียวในอินโดนีเซีย (Real Estate Indonesia หรือ REI) กล่าวว่าประเด็นสำคัญที่สุดสำหรับอินโดนีเซียก็คือการไม่เก็บภาษีรายได้แก่ประชาชนในช่วงเวลานี้ เพื่อพยุงรายได้ของพนักงานบริษัทต่างๆ เพื่อให้ยังมีรายได้เพียงพอกับการผ่อนชำระที่อยู่อาศัย

ในประเทศฮ่องกง: กรรมการบริหารสมาคมนายหน้าฮ่องกงกล่าวว่ารัฐบาลฮ่องกงซึ่งเป็นผู้ควบคุมนักวิชาชีพอสังหาริมทรัพย์ทั้งหลาย เช่น นายหน้า ผู้ประเมินค่าทรัพย์สิน นักบริหารทรัพย์สินโดยลดค่าธรรมเนียมการต่ออายุของนักวิชาชีพลง แต่เหล่านักวิชาชีพยังต้องการให้ลดหย่อนลงไปให้มากกว่านี้ และรัฐบาลก็ยังไม่มีนโยบายใดๆ แต่ใช่ว่ารัฐบาลฮ่องกงไม่ได้สนใจประชาชน เพราะได้ให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนด้านการชดเชยรายได้ และการสาธารณสุขเป็นอย่างดีจนขณะนี้ระดับการระบาดของโควิด-19 ไม่มากเช่นแต่ก่อน

สำหรับในประเทศไทย ดร.โสภณ พรโชคชัย นายกสมาคมผู้ซื้อบ้าน ยังได้ทำหนังสือถึงนายกฯ เมื่อวันที่ 23 มี.ค. ที่ผ่านมา ให้มีมาตรการช่วยเหลือผู้ซื้อบ้าน ดังนี้:

1.ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ โดยให้อยู่ในกรอบที่ไม่เกิน 3% ของอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก (เช่น ถ้าดอกเบี้ยเงินฝากคือ 1% ดอกเบี้ยเงินกู้ไม่ควรเกิน 4%) ในประเทศไทยค่านายหน้าเป็นเงิน 3% ของมูลค่าบ้าน ดังนั้นสถาบันการเงินต่างๆ ที่รับฝากเงินจากประชาชน จึงควรมีกำไรในสัดส่วนไม่เกิน 3% เช่นกัน ยิ่งกว่านั้นรัฐบาลพึงเปิดโอกาสให้สถาบันการเงินจากต่างประเทศมาเปิดให้บริการแข่งขันกับสถาบันการเงินไทยมากขึ้น ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลดลงอย่างแน่นอน

2.พักการชำระหนี้เงินต้น ดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมของสถาบันการเงินในกรณีสินเชื่อบ้านและสินเชื่ออื่นๆ เป็นเวลา 6 เดือน หรือหากสถานการณ์เลวร้ายลงไปกว่านี้ ก็ให้พักชำระหนี้เป็นเวลา 1 ปี และเมื่อครบกำหนดค่อยกลับมาชำระหนี้ตามปกติโดยยืดเวลาการผ่อนชำระออกไป

3.หยุดเก็บภาษีและค่าธรรมเนียมโอนอสังหาริมทรัพย์ในกรณีต่างๆ รวมทั้งภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นเวลา 1 ปี

4.จัดตั้งกองทุนซื้อบ้านสำหรับเจ้าของบ้านและห้องชุดที่ไม่สามารถที่จะผ่อนต่อหรือมีหนี้จำเป็นต้องขาย โดยกองทุนนี้รับซื้อในราคา 75% ของมูลค่าตลาดที่ผ่านการประเมินค่าทรัพย์สินตามมาตรฐานวิชาชีพโดยเคร่งครัดก่อน ทั้งนี้ให้บริษัทประเมินซื้อประกันความรับผิดชอบทางวิชาชีพไว้ด้วย กรณีนี้จะทำให้ผู้จำเป็นต้องขายบ้านเกิดสภาพคล่องทางธุรกิจ และในอนาคตอาจสามารถซื้อคืนในราคาต้นทุนบวกดอกเบี้ย หรืออาจทำให้ประชาชนทั่วไปสามารถซื้อบ้านได้ในราคาถูก เป็นการช่วยให้ประชาชนสามารถมีที่อยู่อาศัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : กรุงเทพธุรกิจ

 

สนใจข้อมูลข่าวสารเด่นๆ คอนเทนท์ร้อน ที่เรานำมาเสิร์ฟให้คุณผู้อ่านในทุกๆวันจาก Dotproperty คลิก