ผลกระทบจากวิกฤตโควิดยังคงส่งผลในวงกว้าง โดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่ในปัจจุบันอยู่ในภาวะที่ขาดกำลังซื้อจากนักลงทุนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ประกอบกับมาตรการการปิดประเทศ รวมไปถึงวิกฤตโควิดที่ยังไม่คลายความน่ากังวลใจในทั่วโลก ทำให้ดีมานก์นักลงทุนยังไม่กลับมาอย่างเต็มตัว หลายผู้ประกอบการจึงแห่การันตี yield เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อจากนักลงทุนให้กลับเข้าสู่ตลาดอีกหน เนื่องจากกำลังซื้อจากนักลงทุนนับเป็นเกือบร้อยละ 50 ของตลาดอสังหาริมทรัพย์
กระตุ้นกำลังซื้อจากนักลงทุนด้วยการการันตี yield
นายภัทรชัย ทวีวงศ์ รองผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย จำกัด ได้เปิดเผยว่า หลังภาวการณ์ชะลอตัวทางเศรษฐกิจและผลกระทบจากกำลังซื้อที่หดตัวลง ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์หลายราย ได้ขยับการเปิดตัวโครงการใหม่มาแข่งขันกันในสงครามราคาในช่วงไตรมาสที่สอง เพื่อเป็นการระบายอุปทานคงค้างในมือ โดยมาจนถึงไตรมาสที่สาม ตลาดอสังหาริมทรัพย์ได้เริ่มเข้าสู่การแข่งขันครั้งใหม่ โดยเป็นสงครามลงทุนอสังหาการันตีผลตอบแทนด้วยกลยุทธ์การการันตี yield (ผลตอบแทน) ให้กับผู้ซื้อ เพื่อสร้างแรงกระตุ้นและดึงดูดกำลังซื้อจากกลุ่มนักลงทุนให้เข้ามาช่วยระบายอุปทานคงค้างที่เหลือสะสมอยู่ โดยการันตี yield ถึงประมาณ 6-10% ต่อปี
นายภัทรชัย ทวีวงศ์ ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า นักเป็นปรากฎการณ์ทางการแข่งขันที่น่าสนใจสำหรับตลาดอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากที่ผ่านมาไม่ค่อยพบเห็นการแข่งขันด้านลงทุนอสังหาการันตีผลตอบแทนด้วยเลยุทธ์การการันตี yield ในตลาดอสังหาริมทรัพย์กรุงเทพฯ มากนัก เนื่องจากเป็นตลาดที่มี่ความต้องการสูงอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว ไม่ว่าจะป็นความต้องการจากกลุ่มนักลงทุนชาวไทยหรือชาวต่างชาตก็ตาม โดยส่วนใหญ่กลยุทธ์การการันตี yield มักจะพบเห็นในทำเลแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำของประเทศไทย ได้แก่ ภูเก็ต พัทยา และหัวหิน โดยเฉพาะในพื้นที่ภูเก็ตที่มีการแข่งขันสูง โดยมีโครงการที่ทำกลยุทธ์ด้านการการันตี yield ถึง 70-80% ของตลาดเลยทีเดียว
ผู้ประกอบการที่กระโดดเข้าร่วมการการันตี yield
สำหรับโครงการที่มีการลงทุนอสังหาการันตีผลตอบแทนในพื้นที่กรุงเทพฯ นายภัทรชัย ทวีวงศ์ กล่าว่ามีโครงการ ณุศาศิริ ที่นำกลยุทธ์การันตี yield 6-8% ต่อปี โดยล่าสุด ไฮไชน์ ดีเวลลอปเม้นท์กรุ๊ป บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จากประเทศจีน ก็ได้ร่วมออกแคมเปญลงทุนอสังหาการันตีผลตอบแทน 10% สูงสุดถึง 3 ปี และรับซื้อคืนราคาเจ็ม ตามมาด้วยโครงการ รีเกิล อ่อนนุช ศรีนครินทร์ โครงการรีเดิล สาทร-นราธิวาส โครงการีเกิล สุขุมวิท 76 และโครงการ รีเกิล บางนา ที่ออกมาทำกลยุทธ์ด้านการการันตีผลตอบแทนเช่นเดียวกัน
สำหรับผู้ประกอบการรายใหญ่อย่าง แอล.พี,เอ็น ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ก็ได้กระโดดเข้าร่วมกลยุทธ์การแข่งขันการันตีผลตอบแทนเช่นเดียวกัน โดยจัดแคมเปญการันตีผ+++ลตอบแทน 6%* 3 ปี พร้อมรับซื้อคืนเมื่อสิ้นสุดโครงการ ด้วยการนำห้องชุดถึง 300-4000 ยูนิตในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท มูลค่าโครงการรวมกว่า 1,000 – 1,2000 ล้านบาท เข้ามาร่วมในแคมเปญนี้ โดยได้แก่ โครงการ ลุมพินี เพลส พระราม3 – ริเวอร์ไรน์, โครงการ ลุมพินี พาร์ค พหล 32 และ โครงการลุมพินี ซีเล็คเต็ด สุทธิสาร – สะพานควาย ซึ่งนับเป็นครั้งแรก โดยมีจุดประสงค์เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธฺการระบายอุปทานสะสมคงค้างในมือ และเพื่อสร้างกระแสเงินสด ซึ่งต้องบอกว่านอกจากจะดึงดูดและกระตุ้นกำลังซื้อจากนักลงทุนแล้ว ยังตอบโจทย์การซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง สำหรับคนที่ต้องการ Capital gain ที่แน่นอนอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม การออกมาแข่งขันโดยใช้กลยุทธฺด้านการกรันตีผลตอบแทนจากการลงทุนของเหล่าผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่กรุงเทพฯ เป็นการสะท้อนให้เห็นว่ากำลังซื้อในตลาดอสังหาริมทรัพย์นั้นหดลงอย่างชัดเจน เพราะเป็นกลยุทธ์ที่ผู้ประกอบการไม่นำมาใช้กันในสถานการณ์ปกติ เนื่องจากความต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ นั้นค่อนข้างมีอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว โดยเฉพาะกำลังซื้อต่างชาติที่เป็นกำลังซื้อหลักอย่างประเทศจีน ทำให้การการันตีผลตอบแทน จะเข้ามาช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ในไตรมาสที่สามและไตรมาสที่สี่ได้มากขึ้น ซึ่งก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า ผู้ประกอบการระดับบิ๊กแบรนด์เจ้าอื่นนั้นจะกระโดดเข้ามาร่วมในสงครามด้านราคาครั้งนี้กันด้วยหรือไม่
ที่มา:
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/888263