DotProperty.co.th

แชร์ข้อคิดเตือนสติการ ผ่อนบ้านผ่อนรถ เกินฐานะ อาจจน้ำตาตกในบั้นปลาย

สวัสดีค่ะวันนี้เรากลับมาพบกันอีกครั้ง โดยวันนี้เรามีข้อคิดเพื่อเตือนสติโดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ๆ ที่มีประสบการณ์การทำงานยังไม่มาก แต่อยากที่จะ ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ และยังไม่มีการวางแผนทางการเงินที่ดี หรืออาจจะซื้อเพราะตามกระแสสังคมก็ตาม เอาละค่ะเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเราไปดูข้อคิดดีๆกันได้เลย

แชร์ข้อคิดเตือนสติการ ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ เกินฐานะ อาจจน้ำตาตกในบั้นปลาย

ผมแปลกใจว่า ทำไมหลายๆคนถึงจึงกล้าผ่อนรถผ่อนบ้านเกินฐานะ ทั้งๆที่รายได้ไม่เยอะมากBy สมาชิกหมายเลข 4412522

เห็นกระทู้เงินเดือน 3-4 หมื่น กล้าผ่อนบ้าน 3-5 ล้าน จ่ายเดือนละ 2-3 หมื่นกว่า หนักมาก แล้วยิ่งงงกว่า ธนาคารปล่อยมาได้ไง หรือไม่ก็เงินเดือนแค่หลัก 1-2 หมื่นปลายก็หาเรื่องเป็นหนี้เอารถมาขับกันแล้ว  ปีนี้ผมอายุ 36 ก็หัวหงอกพอตัว เห็นมาเยอะเลย คนที่ไม่ประเมินความสามารถในการใช้จ่ายของตัวเอง ความสามารถในการหาเงินของตัวเอง ชอบคิดว่าไหว คิดว่าเอาอยู่ ทำอะไรไม่คิดหน้าหลังดีๆ ไม่มีแผนสำรองใดๆ พอสะดุดล้มขึ้นมาจะลุกไม่ขึ้น หลายๆคนผ่อนไปได้ไม่นานก็แทบจะอยากคืนบ้านคืนรถกันแล้ว เพราะเดือนชนเดือน ไม่พอใช้จ่าย ไม่พอกิน เพราะในช่วงจังหวะชีวิตหนึ่ง คนเรามักเจอความซวยถาโถมเข้ามาเสมอๆ ฉะนั้นเรามีภูมิคุ้มกันด้านการเงินต่อให้วันที่แย่ที่สุดเราก็ยังประคองตัวได้ ถ้าไม่งั้นสุดท้ายแล้วชีวิตก็เป็นหนี้ เอาหนี้มาปิดหนี้ แล้วก็หนี้เป็นห่วงโซ่ไม่จบสิ้น กระทู้ในพันทิปก็เห็นประจำ ผมอยากมาเตือนโดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ๆ ที่ทำงานยังไม่ถึง 5 ปี ถ้าไม่ได้เกิดมาบนกองทอง ยิ่งถ้ามีคนที่ต้องดูแล วางแผนการเงินดีๆ แล้วชีวิตจะสบาย อย่าได้ตามกระแสสังคมมากนัก ยอมทนยอมเหนื่อยกันช่วงที่ยังมีแรงนี่แหละดีที่สุด ดีกว่าต้องมาน้ำตาตกในบั้นปลาย

ด้วยความหวังดีครับ โชคดีทุกๆท่าน

 

ชีวิตคนเรามีกิจวัตรที่ต้องทำไม่เยอะ  ถ้าย้อนชีวิตกลับไปได้ คงไม่สร้างบ้านใหญ่โต By nasum

เหตุผลอื่นไม่ขอออกความเห็น เอาจากประสบการณ์ตัวเอง ตอนนี้เลยวัยเลขหกไปแล้ว ตอนวัยสร้างเนื้อสร้างตัวก็สร้างบ้านสองชั้นทำห้องเผื่อลูกให้ลูกได้อยู่คนละห้อง มีห้องโน้นนี่มากนัก  พอส่งเรียนจนจบ ต่างแยกไปมีครอบครัวบ้านที่เคยใหญ่มีหลายห้องกลายเป็นภาระให้เก็บกวาดเช็ดถู  ตอนนี้อยู่กันสองคนสามีภรรยา ข้างบนไม่ต้องพูดถึงไม่ขึ้นเลยเก็บของที่มีมาทั้งชีวิต นอนกันข้างล่างในห้องเล็กๆ   ณ ปัจจุบัน ทำห้องนอนมีห้องน้ำในตัวขนาด 4 *6 ม. หนึ่งห้อง (ไว้นอน ดูทีวี นั่งหน้าคอม) และมีห้องเอนกประสงค์หนึ่งห้องขนาด  4*6 ม.(ครัว รับแขก นั่งเล่น พักผ่อน) มีระเบียงรับลม 2.5*8 ม.   เก็บกวาดเช็ดถูห้านาทีสิบนาทีเสร็จเรียบร้อย นี่คือสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน  ถ้าสำหรับตัวผมคงบอกว่า อยู่แบบพอเพียงก็มีความสุขแล้วครับ ชีวิตคนเรามีกิจวัตรที่ต้องทำหลักๆคือ  กิน นอน ทำงาน พักผ่อน  ถ้าย้อนชีวิตกลับไปได้ คงไม่สร้างบ้านใหญ่โต  ขอแค่หลังเล็กมีบริเวณให้ทำกิจกรรมพืชผักสวนครัว    มีเงินสดเก็บไว้ใช้ยามเจ็บไข้ได้ป่วย  เท่านี้ก็เพียวพอแล้วครับ ผมสร้างบ้านตามกำลังเงินและรายได้  จึงไม่ปัญหาเรื่องเป็นหนี้ครับ

 

คนสมัยนี้เลือกที่จะเป็นภาระแบบ “เกินฐานะ” By bear brothers

สำหรับเรา เราเห็นด้วยนะ ที่คนสมัยนี้เลือกที่จะเป็นภาระแบบ “เกินฐานะ”

แยกเป็น 2 ประเด็นนะ

1.เลือกที่จะเป็นหนี้ ซื้อรถและบ้านเป็นของตัวเอง

2.หนี้ที่สร้างมันเกินรายได้ที่จะส่งไหว สุดท้ายโดนยึด

มาเคสของเรา เป็นทั้ง 2 อย่างเลย ความผิดพลาดมหันต์ แต่ตอนนี้เริ่มรู้ตัวแล้ว คืองี้

– รถ  เราเริ่มจากการซื้อรถ สาเหตุ เรานั่งรถเมล์ไปทำงาน แล้วเป็นคนที่แบบ อยากประหยัด และหาทางที่ไม่ต้องต่อรถเยอะ  ทีนี้ไอ้รถเมล์แถวบ้าน มันเป็นประเภทหมดระยะบ้าง ผ่านรถติดบ้าง สรุปการเดินทางของเรา รอรถ 1-2 ชม. นั่งรถอีก 1 ชม. เครียด ประสาทเสียทุกวัน  แฟนก็เลยบอกว่า ซื้อรถเหอะ (ในช่วงรถคันแรกพอดี “นี่คือความผิดพลาดแรก”

เพราะบ้านเราไม่มีที่จอดรถ สร้างความลำบากกว่าเดิม ในการหาที่จอด จนต้อง

– บ้าน สาเหตุ เมื่อไม่มีที่จอด ก็เลยต้องหาซื้อบ้าน  ไปได้ทาวน์โฮมก่อน ในราคา 1 ล้านปลาย ใช้การกู้ร่วม ค่อนข้างเหนื่อยเหมือนกัน ผ่อนสองอย่าง ทั้งที่ช่วยกัน 2 คน แต่การใช้จ่ายสะดุดมาก ระหว่างนั้นก็มีสร้างหนี้เล็กๆ น้อยๆ อยู่เรื่อยๆ เช่น ต่อเติม ซื้อของเข้าบ้าน เป็นต้น อยู่ไปซักพักเริ่มทนไม่ไหว แถวบ้านนั้นรถติดมากกกกก จนต้องหาซื้อบ้านใหม่ ในราคา 3 ล้านกลางๆ “นี่คือผิดพลาดที่สอง”  แต่ยังโชคดีที่ย้ายงานและฐานเงินเดือนพอจะซัพพอร์ตไหว แต่ค่ะแต่ ใช้เงินมือเติบ ซื้อของเยอะแยะมากมาย จนเป็นหนี้ท่วมไปหมด  ตอนนี้มาดึงสติ ค่อยๆแก้หนี้ทีละก้อน หวังว่าเคลียร์หนี้จบสถานการณ์จะดีขึ้น  เลยอยากจะเตือนเพื่อนๆ น้องๆ อย่าประเมินตัวเองเหมือนเรากะแฟน ตอนจะซื้อบอกผ่อนไหวๆๆ ในชีวิตจริงๆ ระหว่างทางมันมีค่าใช้จ่ายจุกจิกตลอด การมีความฝันอะดี แต่ต้องระมัดระวังอย่างมาก ไอ้ที่คำนวนแล้วว่าพอ ให้ประเมินส่วนของเงินเผื่อเอาไว้เลย 2-3 เท่า การวางแผนเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ไม่อยากให้พลาดเหมือนเรา กว่าจะแก้ไข ต้องเครียดหนักหนาสาหัส ถ้าเลือกได้ ไม่เป็นหนี้ดีที่สุด

 

นิยามคำว่า”เกินฐานะ” ของแต่ละคนยังไม่เท่ากันเลยครับ จะไปชี้ว่าใคร”เกินฐานะ” ผมไม่กล้านะครับ by IHAYO

นิยามคำว่า”เกินฐานะ” ของแต่ละคนยังไม่เท่ากันเลยครับ จะไปชี้ว่าใคร”เกินฐานะ” ผมไม่กล้านะครับ ถ้าพิจารณาน้อยก็ต้องรับภาระเยอะเกินจำเป็น พิจารณามากก็อาจคุ้มค่ากว่า แต่ก็ขึ้นปัจจัยอื่นๆด้วย  ผมก็เห็นมาเยอะ การเตือนบางทีก็ด้วยหวังดี บางทีก็ด้วยอวดรู้ ยิ่งอายุเยอะ ยิ่งยึดติดกับความคิดความเชื่อของตัวเองมากครับ(ผมก็เป็นครับ )

เรื่องรถ อันนี้ขึ้นกับความจำเป็นและสวัสดิภาพในการดำเนินชีวิตของแต่ละคนเลย ส่วนใหญ่พวกที่บอกไม่จำเป็นต้องมีรถ มักจะบ้านอยู่แนวรถไฟฟ้า หรือมีรถของที่บ้านให้ใช้อยู่แล้วไม่ต้องซื้อเอง ส่วนคนที่ต้องต่อรถสามสี่ต่อไปทำงาน ระยะทางเกิน 20km แล้วใช้เวลาเดินทางด้วยรถสาธารณะเกินสองชั่วโมง  เชื่อว่าทุกคนดิ้นรถส่วนตัวมีรถเมื่อมีโอกาส ยิ่งถ้าบางคนมีพ่อแม่แก่ๆ ยิ่งต้องหาไว้ติดบ้าน คนไม่เคยเจอเอง อันนี้ไม่มีทางรู้ว่าเวลาในการต่อรถหมายถึงชีวิต….

เรื่องบ้าน บ้านเป็นสินทรัพย์ระยะยาว เป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ บางคนไม่ซื้อ เพราะอยู่บ้านพ่อแม่ตัวเอง เลยไม่เห็นประโยชน์ของการมีส่วนตัว นอกจากไว้เก็งกำไร ฯลฯ แน่นอนบางครั้ง มันก็ลำบาก ผ่อนบ้านผ่อนรถจนสัดส่วนภาระเยอะเกินครึ่งของรายได้ แทบไม่ได้ไปเที่ยวหรือลงทุนอย่างอื่น แต่อย่าลืมว่าสองอย่างนี้ก็เป็นหนึ่งในความจำเป็นพื้นฐานในปัจจุบัน ซึ่งคนที่มีรองรับหรือมีอย่างอื่นทดแทนได้อยู่แล้ว คงไม่รู้สึกว่าจำเป็น

โดยเฉพาะบางเรื่องขึ้นกับความสุขของแต่ละคน คุณบอกทำงี้ไม่มีความสุข เก็บเงินสดไว้ดีกว่าเผื่อพลาดพลั้ง บางคนบอกแบบนี้แหละฉันมีความสุข แล้ว มีรถแม้จะไม่ค่อยได้ใช้ แต่ก็รู้สึกปลอดภัยในชีวิต คงไม่ไปชี้ใครว่าผิดถูกได้ ชีวิตก็ต้องดิ้นรนกันไป  บางเรื่องแม้จะเห็นบั้นปลายตามกรอบที่นิยมกัน แต่ในโลกความจริงทุกคนไม่เหมือนกันครับ

 

ถ้าจะผ่อนอะไร แบบไม่ผ่อนใช้ก็ได้ มีใช้ผ่อนก็ดี= …. คุณกำลังสร้างหนี้ ไม่ใช้สร้างฐานะตัวเองให้ดีขึ้น byสมาชิกหมายเลข 4327648

ผมคิดว่า การใช้เงินผ่อน ใช้เงินเกิน “ฐานะ” มันบ่งบอกถึง คุณยังไม่เข้าใจ ในเรื่อง ความสมดุลของชีวิต

การใช้เงินผ่อน คือ  การใช้จ่ายเงินในอนาคตของคุณ พร้อมหนี้สินในอดีตซึ่งมันกำลังจะพยากรณ์ได้ว่า อนาคตของคุณเป็นแบบนั้น คือติดกับดักเงินติดสินเชื่อ คุณทำงานงกๆ ทำงานร่างกายทรุดโทรม ทำงานเอาแรงกาย แรงสมองเพื่อตายเอาดาบหน้าเพื่อจ่ายชำระ เงินที่ไม่เกิดรายได้ แถมไปโปะจ่ายเอาเงินปัจจุบัน เป็นเงินอนาคตซึ่งยังมาไม่ถึง แต่คุณได้เสียเงินจ่ายไปแล้ว คนที่อยู่ในระบบเงินเดือน เป็นข้าราชการ หรือลูกจ้างองค์กรต่างๆ หรือบริษัท มักจะใช้วิถีชีวิตแบบนี้กันเป็นส่วนใหญ่ เพราะเค้ากำหนดมาในรูปแบบนี้ อาจะคล้ายกับ ระบบ ประชาราษฏร์สวัสดิการ ที่เจ้าของโครงการยอมให้สิ่งล่อใจแก่ ลูกค้า เพื่อแลกกับผลประโยชน์ในระยะยาวหรืออาจตลอดทั้งชีวิตของเรา เราได้ความสะดวกสบายแต่เราอยู่ในกรงทอง ออกไปไหนออกจากระบบไม่ได้ ออกเมื่อไร มันคือ โดนยึดทรัพย์ ติดกับดัก ติดหนี้เพิ่ม ติดแบล็คลิสต์ ล้มละลาย เพราะเค้าไม่จ่ายเงินเดือนแก่คุณแล้ว กรณีที่เจ้าของกิจการใช้จ่าย ใช้เงินผ่อนเกินตัว มันคือ เจ้าของฯ ที่รอเวลา เจ๋ง รอล้มพับเสื่อกลับบ้าน  ระบบเงินผ่อน คือ อาหารจานโต ของเจ้าของธุรกิจ เพราะดอกเบี้ยคือเงินเปล่าที่มาก อาจจะมากกว่า

ราคาจริงของสินค้า แต่คุณก็จ่ายให้มัน เพราะคุณซื้ออนาคตคุณด้วยหนี้สิน!!!!! เงินผ่อน เป็นทางเลือกสุดท้าย แก่คนที่จำเป็นมากๆ ที่ต้องใช้ แต่มีความสามารถมีศักยภาพในการชำะ และมีการวางแผนอย่างระมัดระวัง มีแผนสำรอง และใช้ประโยชน์สินค้าที่ผ่อน ได้คุ้มเกินเงินที่ใช้ผ่อนแต่ละเดือน

 

“การเป็นหนี้บ้าน หนี้รถ เมื่อไม่พร้อม มันเป็นอะไรที่เหนื่อยมากๆ ทุกข์มากๆ” By Classical_Virus

ตอนจบใหม่ ทำงานปีแรกได้ งด.รวมทุกอย่างไม่เกิน 20k

– ครอบครัวให้กู้ซื้อบ้าน 2.36 ล้าน 1 หลัง >> ผ่านเฉย

– ทำงานไป 1 ปีครึ่ง ครอบครัวพึ่งเฉลยว่ามีหนี้ก้อนใหญ่หลายก้อน รวมๆเกือบ 3 ล้าน >> หนูใช้หนี้ค่ะ+ผ่อนบ้านไปพร้อมๆกัน

การซื้อบ้านของเคสครอบครัวหนูนี่ใช้เงินเกินตัวมากกกกกค่ะ เหตุผลของครอบครัวคือ

– บ้านหลังเดิมเล็กเกินไป (ยังผ่อนไม่หมดนาก๊ะ)

– บ้านหลังเดิมเป็นชื่อลูกอีกคน อยากให้หนูมีบ้านเป็นของตัวเอง (ยังไม่ถามคนผ่อนเลยค่า ว่ามี ปญ.ผ่อนมั้ย)

– เงินผ่อนดาวน์บ้านไปหลายแสนแล้ว ตั้งแต่ยังไม่เริ่มสร้าง (อันนี้ไม่เข้าใจ)

– มันคือ “หน้า” ได้อยู่บ้านหลังใหญ่ ก็หน้าใหญ่

จมไม่ลง ใช้จ่ายเกินตัวของครอบครัว  เป็นเวลา 6 ปีที่กระเ สือ กกระสนหาเงินมาให้พอใช้หนี้บ้าน หนี้ธนาคารอื่นๆ  รากเลือดมากกก

– นอนวันละ 3-4 ชม. ดีสุด 5 ชม.

– หยุดเดือนละ 2-3 วัน บางเดือนทำงานติดต่อกัน 20 กว่าวันไม่ได้หยุด

– ทำงาน+วิ่งงานอื่นๆ ไม่ได้นอนติดต่อกันเกิน 48 ชม.

– เคยนับเหรียญทุกเหรียญเพื่อใช้จ่าย แม้กระทั่งเหรียญสตางค์ก็ใช้จนหมด

– วิ่งรอกทำงานเดือนๆนึง 4-5 แห่ง แล้วแต่ว่ามีที่ไหนจะจ้าง

“การเป็นหนี้บ้าน หนี้รถ เมื่อไม่พร้อม มันเป็นอะไรที่เหนื่อยมากๆ ทุกข์มากๆ” ปีนี้ทำงานปีที่ 6 แล้ว อาชีพมั่นคงอันดับต้นๆของบรรดาอาชีพทั้งหมด  เงินเดือนทั้งเดือนก็พอจ่ายหนี้ทั้งหมด+เก็บบ้าง โดยไม่ต้องวิ่งรอกไปนู่นนี่  สบายขึ้นมากค่ะแถมผ่อนบ้านได้อีกหลัง รถได้อีกคัน สามีได้อีก 1 เอ้า รายหลังซื้อสดมา 5555

 

บางทีการสร้างอะไรบางอย่างเพื่อกดดันตัวเองมันก็ทำให้เรามีความมุมานะ by สมาชิกหมายเลข 866503

หลายคนต่างเหตุผล ผมคนนึงที่ตอนต้นคล้ายกับที่ จขกท พูดถึงว่าทำเกินตัวตอนอายุ 30 ผมกับภรรยาเงินเดือนรวมกันไม่ถึงสี่หมื่น ผมทำงานเอกชน ภรรยารับราชการ มีลูก 1คน ผ่อนรถ 1คัน เช่าบ้านอยู่ภรรยากู้แบงค์ซื้อที่ดินกับบ้าน 2ล้าน เวลา 30ปี (ใช้เทคนิคบางประการทำให้แบงค์ปล่อย แต่ไม่ได้ทำผิดหรือปลอมแปลงเอกสารใดๆ)แล้วกู้สหกรณ์อีกเท่าไหร่ไม่รู้รวมๆน่าจะเกือบๆสามล้าน ภรรยาจัดการเองทั้งหมดโดยผมไม่รู้เรื่อง ถ้ารู้คงไม่ให้ทำ (แต่ตอนนี้ดีใจที่ภรรยาตัดสินใจตอนนั้น) ผมต้องกินอยู่อย่างประหยัดแต่ไม่ถึงกับขัดสน ใช้ชีวิตแบบข้าตายไม่ได้  สะดุดล้มไม่ได้ คำว่าเดือนชนเดือนใช่เลย การอยู่แบบไม่สบายตัวมันก็ทำให้อึดอัดพอสมควร คิดอย่างเดียวต้องใช้หนี้ให้หมดโดยเร็ว สุดท้ายทำงานแบบทุ่มเทมาสิบกว่าปี ได้เลื่อนตำแหน่งแซงคนเก่าได้โบนัส เงินพิเศษจากการทำงาน เงินเดือนก็ขึ้นจนปัจุบันประมาณแสนกว่า สรุปเราทั้งคู่สามารถปลดหนี้ได้หมดภายในสิบปี มีเงินเก็บ มีรถ  มีบิกไบค์ที่อยากได้มาตั้งแต่สมัยวัยรุ่น ที่บอกมาไม่ใช่จะโอ้อวด แต่อยากจะบอกว่า  บางทีการสร้างอะไรบางอย่างเพื่อกดดันตัวเองมันก็ทำให้เรามีความมุมานะ มีความอดทน(ซึ่งปัจจุบันหาได้น้อยมากในคนรุ่นใหม่ๆ) จึงอยากให้มองหลายๆมิติ อย่างที่บอก ต่างคนต่างเหตุผล เพราะเมื่อก่อน เพื่อนฝูง ญาติพี่น้องก็บอกว่า ผมทำอะไรเกินตัว เหมือนกัน

 

เป็นยังไงกันบ้างค่ะโดยบทความนี้ ต้องการแค่แชร์ข้อคิดเกี่ยวกับคำว่า เกินฐานะ เท่านั้นถ้าใครคิดและมั่นใจว่า เราพร้อมซื้อได้ ก็ไม่มีปัญหาค่ะ การมีบ้านนั้นดีค่ะ แต่บ้านต้องนำความสุข ไม่ใช่พาความทุกข์ด้วยรายจ่ายที่เกินตัว ไม่คุ้มเสียเลย

ดังนั้นพิจารณาจากสถานะทางการเงินของตัวเองดีที่สุด อย่าไปยกตัวอย่างคนอื่นว่าคนนั้นคนนี้ทำได้จะดีที่สุดค่ะ แล้วพบกันใหม่ครั้งหน้า

สนใจข้อมูลข่าวสารอื่นๆเพิ่มเติมจาก Dotproperty คลิ๊ก …