สำหรับใครที่ กำลังเริ่มต้นมีครอบครัว และกำลังต้องการจะ ผ่อนบ้าน โดยนอกจากเรื่องทำเลแล้ว สิ่งที่ต้องมี คือ งบประมาณในการซื้อบ้าน ซึ่งข้อแนะนำในเรื่องการวางแผนสำหรับการซื้อบ้านมี 5 แนวทางสำคัญที่จะเป็นปัจจัยที่ช่วยให้ผ่อนสบายกระเป๋า
ผ่อนบ้าน ให้สบายกระเป๋ากับ 5 หลักการที่ต้องเตรียมตัวกับสิ่งที่ต้องคำนึง ดังนี้
1.อันดับแรกเงิน ควรเก็บเงินดาวน์ ตามหลักเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย ธปท ที่กำหนดให้ผู้ที่จะซื้อบ้านต้องมีเงินดาวน์ไม่น้อยกว่า 10% ตามกฎ ของราคาบ้าน ทำให้ใครที่ต้องการซื้อบ้านราคา3 ล้านบาท ต้องมีเงินเก็บเพื่อเป็นเงินดาวน์อย่างน้อย 3 แสนบาท โดยเงินดาวน์อาจจะเก็บออมในรูปของกองทุนรวมตลาดเงินก็ได้เพื่อให้มีสภาพคล่องและมีผลตอบแทนที่ดีกว่าเราฝากเงินประจำไว้เฉยๆ
2.คำนวนและดูยอดผ่อนชำระต่อเดือน ดูว่า หากเราต้องมีภาระการผ่อนรายเดือน เราจะสามารถจ่ายได้หรือไม่ผ่อนไหวไหม โดยปกติก็ไม่ควรที่จะเกิน 40% ของเงินเดือนหรือรายได้ และหากคนเดียวคิดว่าผ่อนไม่ได้ ก็จำเป็นต้องทำการกู้ร่วม โดยต้องมีความสัมพันธ์ทางสายเลือด หรือเป็นสามีภรรยา โดยรูปแบบทั่วไป หากขอสินเชื่อ จำนวน 1-3 ล้านบาท ระยะเวลาผ่อน 30 ปี อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 5-7% ต่อปี จะมียอดผ่อนชำระประมาณ 8,000-15,000 บาทต่อเดือน หากพิจารณาปัจจัยที่ว่ามาแล้ว ก็สามารถวางแผนให้เราสามารถ ผ่อนบ้านได้ง่ายขึ้น
3.เรื่องระยะเวลาในการผ่อนชำระ สำคัญ หากเราเลือกแบบ ผ่อนยาว ถึง 30 ปี สิ่งแรกที่ต้องรู้คือ ผู้กู้จะต้องไม่เกิน 60-65 ปี ต้องไม่เกินช่วงอายุเกษียณ เมื่อเราทราบอายุแล้วเราจะทราบว่า เราจะผ่อนได้กี่ปี หากอายุเยอะก็จำเป็นต้องผ่อนแบบสั้นอัตราการผ่อนชำระรายเดือนจะมากกว่าระยะเวลาผ่อนยาวทำให้คนอายุน้อยที่กู้ผ่านมีโอกาศกู้มากกว่าคนอายุมากแต่การผ่อนสั้นก็มีข้อดีคือหมดภาระได้เร็วและประหยัดค่าดอกเบี้ยจ่ายมากหลายแสนบาท
4.ทำความเข้าใจรูปแบบ อัตราดอกเบี้ย โดยก็ทำเรื่องข้อกู้ ต้องศึกษาอัตราดอกเบี้ยของ สถาบันการเงินที่เราจะข้อกู้ให้เข้าใจ แต่โดยปกติ สถาบันการเงินมีทางเลือกให้กับผู้ขอสินเชื่อส่วนใหญ่คือ 1.อัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ เมื่ออัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 2.อัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว เมื่ออัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มลดลง ดังนั้นต้องศึกษารูปแบบอัตราดอกเบี้ยให้เข้าใจแล้วเราคิดว่ารูปแบบไหนเหมาะกับเรามากที่สุด
5.การวางแผนเรื่องภาษี เพราะสำหรับผู้ที่ซื้อบ้านโดยเฉพาะบ้านหลังแรกเราสามารถนำดอกเบี้ยจ่ายมาลดหย่อนภาษีได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท โดยเงินนี้สามารถช่วยเรื่องค่าใช้จ่ายทางภาษีได้อีกทางหนึ่งและยังมีเงินเหลือสำหรับใช้จ่ายได้ด้วย ดังนั้นเรื่องนี้ก็ไม่ควรมองข้าม