ด้านลลิล เผยไตรมาสแรกกวาดยอดขาย 1,500 ล้านบาท มั่นใจสิ้นปีรายได้ 4,000 ล้านบาทชี้แนวโน้ม อสังหา โซนรังสิต-ลำลูกกา เร่งเปิด “ลลิล ทาวน์” (LALIN Town) และไลโอ (LIO) ลำลูกกา คลอง 4-5 รองรับกำลังซื้อ
ลลิล เชื่อมั่นเศรษฐกิจไทยปี 61 เติบโต ภาค อสังหา รับอานิสงส์ คาดโต 5-8%
นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัทลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา เศรฐกิจไทยปรับตัวดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา การส่งออกโต กำลังซื้อของประชาชนเพิ่มขึ้น อีกทั้งหนี้สินครัวเรือนเริ่มเห็นสัญญาณการปรับตัวลดลง
ซึ่งส่งผลบวกต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ไนช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่ปัจจัยภายนอกเริ่มคลี่คลายขึ้นโดยเฉพาะ 2 ผู้นำเกาหลีเหนือ-ใต้ เดินทางข้สมแดนพบกันในรอบ 65 ปี ทำให้เชื่อมั่นว่าจะไม่เกิดสงครามขึ้น
สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาริททรัพย์ในปี 61 คาดว่าจะเติบโตได้ 5-8% ซึ่งโดยปกติแล้วภาคอสังหาริมาทรัพย์จะเติบโต 1-1.5 เท่าของอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ซึ่ง GDP ในปีนี้ตามที่หน่วยงานภาครัฐได้คาดการณ์ไว้จะเติบโตอยู่ที่ 4-4.5%
ในส่วนของบริษัทลลิลฯ สามารถสร้างยอดขายในไตรมาส 1/61 ได้ 1,400-1,500 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยทั้งปีตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 4,500 ล้านบาท โดยได้เปิดโครงการแนวราบใหม่ 1 โครงการ มูลค่า 450 ล้านบาท ซึ่งได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี ประกอบกับในช่วงเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา มีการจัดงานมหกรรมบ้าน และคอนโด ทำให้มียอดขายเข้ามาเพิ่ม
บริษัทยังมั่นใจยอดขายไนปีนี้ทำได้ตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ 4,500 ล้านบาท และในช่วงไตรมาส 2 บริษัทวางแผนเปิดโครงการใหม่ ซึ่งเป็นโครงการแนวราบอีก 1-2 โครงการ มูลค่ารวม 1,200 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในทำเลกรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นหลัก
ซึ่งตามแผนในปีนี้ที่บริษัทตั้งเป้าหมายเปิดโครงการใหม่รวม 8-10 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 4,500 ล้านบาท จะเป็นโครงการที่อยู่ไนกรุงเทพฯและปริมณฑลในสัดส่วน 70-80% ส่วนที่เหลือจะเป็นโครงการในต่างจังหวัด
รุกเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง ตอกย้ำความเชื่อมั่นผู้บริโภค
ส่วนกลยุทธ์ทางการตลาดในปีนี้ บริษัทปรับกลยุทธ์การดำเนินงานในเชิงรุกเพื่อตอกย้ำความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ไว้วางใจบริษัทมาเป็นระยะเวลานานถึง 30 ปี และบริษัทยังคงมุ่งสู่ความเป็นผู้นำด้านการเปลี่ยนแปลงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
โดยเฉพาะโครงการแนวราบที่บริษัทมีความชำนาญ ทั้งแนวความคิด การวางคอนเซ็ปต์ ความคุ้มค่าในการอยู่อาศัย และการเลือกทำเลศักยภาพ ตอบโจทย์ด้านไลฟ์สไตล์และราคา และเน้นการทำ Digital Marketing และ CRM Strategy ขณะที่ยังคงมีการใช้โฆษณาและประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อในรูปแบบดั่งเดิมควบคู่กันไปด้วย
ชูรัชฏ์ มี่นใจรายได้เป็นไปตามเป้าแน่นอน
นายชูรัชฏ์ กล่าวต่อว่า สำหรับแนวโน้มรายได้ในปีนี้ยังมั่นใจว่าเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 4,000 ล้านบาท โดยรายได้ของบริษัทเกือบทั้งหมดจะมาจากการโอนโครงการแนวราบเป็นหลัก โดยที่มีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ทั้งหมดในปัจจุบันอยู่ที่ 1,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการแนวราบทั้งหมดจะทยอยโอนเข้ามาในปีนี้
นอกจากนี้ บริษัทยังมองเห็นศักยภาพของทำเลกรุงเทพฯ ตอนเหนือ ย่านถนนรังสิต-ลำลูกกา ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ที่มีความเจริญเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการขยายตัวเมืองพหลโยธิน ปทุมธานี รังสิต และถนนลำลูกกา จนกลายเป็นที่พักอาศัยแห่งใหม่ ซึ่งมีปัจจัยหนุนมาจากศักยภาพของพื้นที่ที่มีรถไฟฟ้าสายสีเขียว (หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) และสายสีแดง (บางซื่อ-รังสิต-ม.ธรรมศาสตร์) ที่มีกำหนดสร้างเสร็จในปี 63
อีกทั้งทำเลดังกล่าวยังมีทางด่วนหลายเส้นทาง อาทิ ถนนวงแหวนตะวันออก ทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ และทางยกระดับดอนเมืองโทลล์เวย์ จึงเป็นผลทำให้โซนกรุงเทพฯ ตอนเหนือ สามารถเชื่อมต่อไปยังพื้นที่ชั้นในของกรุงเทพฯ ได้อย่างสะดวกรวดเร็วไม่แพ้ทำเลอื่น ขณะที่สิ่งอำนวยความสะดวก ครบครัน ไม่ว่าจะเป็น Future Park, Big C, Tesco Lotus, สนามบินดอนเมือง, โรงเรียน และโรงพยาบาลต่างๆ
ความเจริญที่มีอยู่อย่างต่อเนื่องในส่านรังสิต-ลำลูกกา ส่งผลให้มีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในทำเลดังกล่าวเพิ่มขึ้นมาก และจะมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทได้เข้ามาพัฒนาในทำเลย่านรังสิต-ลำลูกกา มาแล้วเป็นระยะเวลา 10 ปี ซึ่งเห็นการพัฒนาของทำเลดังกล่าวที่มีอยู่ตลอดเวลา
ในส่วนของจำนวนซัปพลายด์โครงการแนวราบที่อยู่ในทำเลรังสิต-ลำลูกกานั้น ปัจจุบันมีอยู่ทั้งหมด 7,000-8,000 ยูนิต ซึ่งมีบางยูนิตที่ยังไม่สร้างแต่มีการขายไปแล้ว เป็นยูนิตที่สร้างแล้วเสร็จจะมีอยู่เพียง 1,000-1,200 ยูนิต โดยที่อัตราการดูดซับ (Take up rate) ในพื้นที่ดังกล่าว อยู่ที่ 50% ของจำนวนยูนิตทั้งหมด 7,000-8,000 ยูนิต ซึ่งคาดว่าจะใช้ระยะเวลาในการดูดซับจนหมดราว 1-1.5 ปี
ราคาขายโครงการมีการปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเฉลี่ย 5-10% ต่อปี
ขณะที่ราคาต้นทุนที่ดินมีอัตราการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงมากกว่าการปรับเพิ่มของราคาขายโครงการ โดยราคาที่ดินในทำเลรังสิต-ลำลูกกา ปรับเพิ่มขึ้น 10-20% ต่อปี หรือปัจจุบัน ราคาขายที่ดินอยู่ที่ 4-5 ล้านบาทต่อไร่ เนื่องจากความเจริญที่เพิ่มมากขึ้น การลงทุนโครงการขยายเส้นทางรถไฟฟ้าที่เข้าใกล้ในพื้นที่ดังกล่าว ประกอบกับมีผู้พัฒนอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ เข้ามาหาซื้อที่ดิน และพัฒนาโครงการเพิ่มมากขึ้น
ปัจจุบัน บริษัทมีโครงการที่อยู่ระหว่างการขายในย่านรังสิต 2 โครงการ ได้แก่ โครงการ ‘ลลิล ทาวน์ (LALIN Town) และไลโอ (LIO) ลำลูกกา คลอง 4-5 โครงการมิกซ์ยูสที่ผสมระหว่างบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ และทาวน์โฮมแนวคิดใหม่ ดีไซน์ใหม่สไตล์โมเดิร์น ขนาด 2 ชั้น ถือเป็นโครงการที่ออกแบบมาเพื่อผู้อยู่ในย่านรังสิต ลำลูกกาโดยเฉพาะ
โดยโครงการมีจุดเด่น ที่ทำเล ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางถนนเลียบคลอง 5 ห่างจากรถไฟฟ้าสายสีเขียว สถานีคลอง 5 (ส่วนต่อขยาย) เพียง 4 นาที การเดินทางยังสะดวกสบาย เพราะเชื่อมต่อชีวิตบนถนนเส้นหลักหลากหลายสาย สะดวกทั้งขาเข้าและขาออกเมือง อาทิ ถนนลำลูกกา, รังสิต-นครนายก สะพานใหม่ อยู่ใกล้ทางด่วนบางนา-บางปะอิน, ใกล้วงแหวนกาญจนาภิเษก, ถนนวิภาวดี-รังสิต และทางยกระดับดอนเมืองโทลล์เวย์ และฟิวเจอร์พาร์ครังสิต เซียร์ รังสิตไฮเปอร์มาร์เก็ต ทั้ง บิ๊กซี และเทสโก้ โลตัส เป็นต้น ตลอดจนอยู่ใกล้นิคมอุตสาหกรรม และสถานศึกษาชั้นนำหลายแห่ง
โครงการลลิล ทาวน์ ไลโอ ลำลูกกา คลอง 4-5 มีจำนวน 417 ยูนิต บนพื้นที่โครงการ 44 ไร่ เป็นทาวน์โฮมแนวคิดใหม่ และบ้านเดี่ยว 2 ชั้น เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการบ้านหลังแรก โดยตัวบ้านมีพื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่ตั้งแต่ 105 ตร.ม.-155 ตรม. ขนาด 3-4 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ และที่จอดรถ 1-3 คัน
ฟังก์ชันการออกแบบตัวบ้านเป็นแบบ Open plan สามารถออกแบบพื้นที่ใช้สอยได้ตามความต้องการ พร้อมพื้นที่เอนกประสงค์ทั้งภายในและนอกตัวบ้าน เพิ่มทัศนียภาพและคุณภาพการอยู่อาศัยด้วยพื้นที่สีเขียวพร้อมสวนสาธารณะ และสโมสร บนพื้นที่กว่า 1 ไร่ อุ่นใจด้วยกล้อง CCTV และระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง
โดยบริษัทได้เปิดขายเฟสแรก จำนวน 60 ยูนิตไปแล้ว มูลค่า 200 ล้านบาท ซึ่งเป็นทาวน์โฮมสัดส่วน 70% และอีก 30% เป็นบ้านเดี่ยว มีลูกค้าเข้ามาซื้อทั้งหมดแล้ว.
ที่มา mgronline