มิกซ์ยูส ทางรอด สำหรับอสังหาฯล้น จริงหรือ.?

มิกซ์ยูส

ทุนอสังหาริมทรัพย์ ชี้เทรนด์อสังหาฯซิงเกิลยูส มีโอกาส ล้นตลาดใน 3 ปี เหตุพฤติกรรม ผู้บริโภคเปลี่ยน หันปั้นโครงการ มิกซ์ยูส “สิงห์ เอสเตท” คาดซีบีดีจุดเสี่ยงหลัก ภายในงานสัมมนา“Thailand Focus 2018 : The Future is Now โอกาสการลงทุน… ไม่ต้องรออนาคต” ในหัวข้อสัมมนา Rising of the Mixed Use Complex and New Bangkok CBD

โครงการเดี่ยวล้นตลาด ผู้ประกอบการเบนเข็มหา มิกซ์ยูส

มิกซ์ยูส

นาง กมลวรรณ วิปุลากร ประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด เปิดเผยถึงแนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในอีก 3 ปีข้างหน้าเริ่มเกิดปัญหาโครงการที่พักอาศัย ล้นตลาด (Over Supply) โดยเฉพาะในกลุ่มโครงการเดี่ยว (Single-Use) ที่พัฒนาโครงการเพื่อตอบสนองความต้องการเชิงเดี่ยว เช่น โรงแรม ที่พักอาศัย ค้าปลีก และสำนักงานให้เช่า ที่ตั้งเดี่ยว เริ่มจะมีราคาสูงขึ้น ขณะที่กลุ่มลูกค้ากลับไม่มีงบประมาณลงทุนสูงเพื่อจ่าย ส่งผลทำให้ อัตราการเข้าพักอาศัย เช่า หรือ ขายเริ่มมี อัตราต่ำลง

ทำให้ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะต้องพัฒนาโครงการผสมผสาน (Mixed-Use) ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวก ทุกด้านในพื้นที่ตั้งแต่ที่พัก โรงแรม สำนักงาน ค้าปลีก รวมไปถึงแหล่งบันเทิง และที่พักผ่อน จึงจะตอบโจทย์ความ ต้องการและทำให้เกิดการแข่งขันได้ ในการดึงคนเข้ามาใช้พื้นที่ได้เต็มประสิทธิภาพ

“ราคาอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบัน เริ่มสูงและเริ่มล้นตลาดเกินความ ต้องการ การพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์ เทรนด์คนรุ่นใหม่จึงควรเป็นรูปแบบมิกซ์ยูส ที่ต้องการที่พักอาศัยที่มี สิ่งรอบตัว ทั้งฟิตเนส พื้นที่สีเขียว ชอปปิงเซ็นเตอร์ ตลอดจน พื้นที่สำหรับทำงาน (Co-Working Space)”

เธอยังกล่าวว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในเมืองไทยยังมีความน่าสนใจเพราะโอกาสในการสร้างผลกำไรยังถือว่า สูงกว่าหากเทียบกับเมืองที่มีมูลค่าที่ดินและอสังหาริมทรัพย์อย่าง ฮ่องกง ราคาสูงกว่าประเทศไทย 40% และสิงคโปร์ ที่ราคาสูงกว่า 30% รวมไปถึงศักยภาพ ทำเลที่ได้เปรียบในการเป็นศูนย์กลางภูมิภาคอาเซียน ซึ่งติดอันดับเป้าหมายของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทั้งญี่ปุ่น จีน และสหรัฐ

0มิกซ์ยูส

ด้านนาย นริศ เชยกลิ่น ประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) มีความเห็นในทิศทางเดียวกันว่า อสังหาฯในยุคปัจจุบันกำลังจะเข้าสู่ภาวะซัพพลายล้นตลาดภายใน 3 ปีข้างหน้า รวมถึงราคาที่สูงขึ้นมาก และยังทำให้กำไรจากการพัฒนาโครงการเริ่มลดลง โอกาสในการเข้าพักเริ่มลดลง เช่นเดียวกัน

ขณะเดียวกันเทรนด์ของ ไลฟ์สไตล์และคนรุ่นใหม่จะต้องมีกิจกรรมที่รวมกันหลากหลายด้าน เป็นการสร้างสังคม ความบันเทิง และการทำงานให้รวมอยู่ที่เดียวกันเกิดการปฏิสัมพันธ์กันในพื้นที่ (Engagement) “ที่พักใจกลางเมืองที่เป็นโครงการเดี่ยวจะเริ่มราคาสูงและล้นตลาดในอีก 3 ปี ข้างหน้า ซึ่งความต้องการในการเช่าออฟฟิศราคาสูงไม่จำเป็นอีกต่อไป

โดยเฉพาะในย่านธุรกิจใจกลางเมือง (CBD -Central Business District) จึงต้องมองหาโอกาสของการพัฒนา โครงการใหม่ในทำเลอื่นในกรุงเทพฯ ในรูปแบบมิกซ์ยูส เพื่อกระจาย ความเสี่ยงและสร้างความหนาแน่น ชุมชน และไลฟ์สไตล์ในพื้นที่ที่เป็นศูนย์รวม ทุกด้านทั้งโรงแรม โรงพยาบาล ย่านชอปปิง แหล่งบันเทิงต่างๆ”

ทั้งนี้ความท้าทายของนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ คือแนวทางการกำกับดูแลของภาครัฐ ที่การพัฒนาโครงการยังต้องการการสนับสนุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน การประปา ไฟฟ้า รวมถึงระบบขนส่งมวลชน เข้าถึงโครงการนอกเมืองที่กำลังจะกระจายความเจริญไปสู่พื้นที่รอบนอก

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

 

สนใจข้อมูลข่าวสารเด่นๆ คอนเทนท์ร้อน ที่เราหามาเสริฟให้คุณผู้อ่านในทุกๆวันจาก Dotproperty คลิ๊ก.