หลังจากที่ทางดร.โสภณ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญและดุษฎีบัณฑิตด้านการวางแผนพัฒนาเมือง ได้ออกมาให้ความเห็นเรื่องการ ย้ายเมืองหลวง ไทยนั้น เป็นไปไม่ได้และสร้างปัญหามากว่าแก้ปัญหา ทั่วโลกไม่มีใครทำสำเร็จ ยกเว้นให้ “โบนัส” ข้าราชการด้วยสำนักงานและบ้านพักใหม่ๆ
การย้ายเมืองหลวง จะสร้างปัญหามากว่าแก้ปัญหา
การย้ายเมืองหลวงเป็นความเห็นที่เป็นไปไม่ได้ ขัดกับความเป็นจริง โดยอดีตนายกฯ หลายท่านเคยคิดย้ายกรุงมาแล้ว เช่น จอมพล ป. ก็คิดจะย้ายไปอยู่เพชรบูรณ์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 พล.อ.ชวลิต ก็คิดย้ายไปสนามชัยเขต ฉะเชิงเทรา ดร.ทักษิณ ก็คิดย้ายไปนครนายก แต่จนแล้วจนรอดก็ย้ายไม่ได้สักที คนไทยจำนวนมาก คิดอยากจะย้ายกรุงอยู่เหมือนกัน เพราะเห็นปัญหาหมักหมมเป็นอันมากเลยคิดว่าจะไปเริ่มที่ใหม่ๆ เฮงๆ ทำนองนั้น
การย้ายเมืองหลวงก็เป็นไปได้ด้วยเหตุผลทางการเมือง เช่น ครั้งกรุงศรีอยุธยา ซึ่งถูกเผาไม่เหลือหลอ ซ่อมแซมไม่ไหว ก็จึงย้ายออกมาเสีย หรือการปราบดาภิเษกของรัชกาลที่ 1 พระองค์ท่านก็เพียงย้ายมาอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำเจ้าพระยาเท่านั้น และการย้ายมา 3 กรุงนี้ ก็ย้ายเพียงในระยะทางใกล้ ๆ เท่านั้น ดังนั้นในอนาคต หากมีเหตุผลทางการเมือง ก็อาจมีการย้ายกรุงอีกก็ได้ แต่คงไม่ใช่ย้ายเพราะกรุงเทพมหานครมีสถานะ “เกินเยียวยา” แต่อย่างใด
การย้ายเมืองหลวงในต่างประเทศ
เช่นเดียวกับในต่างประเทศ การย้ายเมืองหลวงมักเป็นเหตุผลจากการเมือง เช่น การตั้งเมืองหลวงของเยอรมนีตะวันตกที่เมืองเล็ก ๆ ชื่อกรุงบอนน์ ในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ภายหลังการรวมประเทศ ก็กลับมาใช้กรุงเบอร์ลินอีกครั้งหนึ่ง ในประเทศไทยก็เคยย้าย “ศูนย์อำนาจ” จากกรุงศรีอยุธยาไปลพบุรีอยู่ระยะหนึ่งในสมัยพระนารายณ์มหาราช แต่เมื่อผลัดแผ่นดิน ก็ยังใช้กรุงศรีอยุธยา แม้หลังเสียกรุงครั้งที่ 1 ก็ยังใช้กรุงศรีอยุธยาเป็นเมืองหลวงเพราะไม่ได้ถูกเผาเช่นหลังการเสียกรุงทั้งที่ 2
กรุงหรือเมืองหลวงที่มีการย้ายได้สำเร็จนั้น ส่วนมากเป็นการย้ายเฉพาะส่วนราชการ เช่น กรุงเนปิดอว์ของเมียนมา เมืองปุตราจายาของมาเลเซีย กรุงบราซิเลียของบราซิล กรุงวอชิงตันดีซีของสหรัฐอเมริกา กรุงแคนบราของออสเตรเลีย เป็นต้น แต่เมืองหลวงทางเศรษฐกิจยังมักอยู่ที่เดิม เช่น กัวลาลัมเปอร์ของมาเลเซีย นิวยอร์กของสหรัฐอเมริกา ซิดนีย์ของออสเตรเลีย เป็นต้น
สำหรับเมืองหลวงใหม่เมืองหนึ่งที่มีชื่อเสียงในประเทศกำลังพัฒนา ก็คือเมืองเกซอนซิตี้ โดยถือเป็นเมืองหลวงใหม่ของฟิลิปปินส์อยู่พักหนึ่ง นัยว่ากรุงมะนิลา “เน่า” เกินเยียวยา มีชุมชนแออัดขนาดใหญ่ที่สุดในโลกแห่งหนึ่งคือสลัมทอนโด จึงมีแนวคิดที่จะย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่อื่น อย่างไรก็ตามสุดท้ายก็ไม่สำเร็จ เกซอนซิตี้กลับถูกควบรวมกลายเป็นเพียงเมืองใหญ่เมืองหนึ่งในเขตนครหลวงมะนิลานั่นเอง
ต่อไปเชื่อว่าเมืองใหม่เช่นปุตราจายา ก็คงหนีไม่พ้นเป็นเมืองที่อาจไม่ประสบความสำเร็จนัก ผู้เขียนเคยพาคณะดูงานอสังหาริมทรัพย์ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนไปเยี่ยมชมมาแล้ว เมืองนี้ตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างสนามบินนานาชาติกับกรุงกัวลาลัวเปอร์ ห่างจากกรุงประมาณ 38 กิโลเมตร การจัดผังเมืองที่นี่จัดไว้หลวมมาก ต้องเดินทางกันด้วยรถยนต์สถานเดียว ตามแผนเดิมปุตราจายาจะมีรถไฟฟ้ามวลเบาระยะทาง 18 กิโลเมตร 23 สถานี แต่ทำไม่สำเร็จ เพราะมีการกระจัดกระจายตัวของส่วนต่าง ๆ ของเมืองมากเกินไปนั่นเอง
บ้างเป็นโรคกลัวโลกร้อน
บางคนกลัวโรค “โลกร้อน” ขึ้นสมอง อย่าได้กลัวไป ดูอย่างสิงคโปร์ยังนิ่งสนิทในเรื่องนี้ อย่าให้ใครโดยเฉพาะพวกเอ็นจีโอเป่าหู ประเทศในยุโรปทั้งเนเธอร์แลนด์ เดนมาร์ก มีเมืองที่ตั้งอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล เขาก็ยังอยู่ได้ แถมทำเกษตรกรรมได้ การที่น้ำเซาะชายฝั่งเล็กน้อยแถวทะเลบางขุนเทียนนั้น เกิดขึ้นเพราะการตัดไม้ทำลายป่าโกงกางในบริเวณนั้น ไม่ใช่เพราะน้ำทะเลเพิ่มขึ้นหรือกรุงเทพมหานครจมลงแต่อย่างใด
ตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจก็คือวัดเจดีย์หอยที่ตั้งอยู่ชายแดนปทุมธานีกับอยุธยานั้น มีหอยนางรม มีทรายมากมายเป็นประจักษ์หลักฐานสำคัญว่าทะเลเคยกินลึกเข้าไปถึงวัดนี้ซึ่งห่างจากทะเลถึง 70 กิโลเมตร หรือถึงนครสวรรค์เลยทีเดียว ในความเป็นจริง ตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ทะเลถูกแผ่นดินกินไปต่างหาก เพียงแต่ไม่กี่ปีหลังมานี้ มีการตัดป่าไม้โกงกางเพื่อการเลี้ยงกุ้งหรือเกษตรกรรมอื่น ๆ มาก จึงเกิดการกัดเซาะชายฝั่ง ไม่ได้มีปัญหาเรื่องโลกร้อนแต่อย่างใด
แปลกไหม ทำไมลอนดอน ปารีส โรม ไม่ย้าย
คนไทยทั้งหลายไปยุโรปทีไร ก็ไปชื่นชมสถาปัตยกรรมเก่า ๆ ที่น่าตื่นตาตื่นใจของกรุงลอนดอน ปารีส บรัสเซลส์ เบอร์ลิน ฯลฯ เฉพาะในกรุงลอนดอน ผู้คนก็มักเดินเล่นไปตามสวนไฮด์ปาร์ค พระราชวังบัคกิงแฮม บิ๊กเบน อาคารรัฐสภา บ้านเลขที่ 10 ถนนดาวนิง ซึ่งเป็นที่พำนักของนายกรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล ผ่านกระทรวงทบวงกรมต่าง ๆ ไปจนถึงจัตุรัสทราฟัลการ์ ฯลฯ จะสังเกตได้ว่าวิหาร ราชวัง พิพิธภัณฑ์ และอื่นๆ ต่างตั้งอยู่ใกล้ชิด
สิ่งหนึ่งที่น่าฉุกคิดขณะเดินก็คือทำไมเขาไม่ย้ายกรุงลอนดอนออกไปบ้าง หรือย้ายเฉพาะส่วนราชการออกนอกเมืองเช่นที่ประเทศไทยหรือประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ เขาทำกันมาแล้ว ท่านทราบไหมลอนดอนมีอายุประมาณ 2,000 ปี ปารีสก็มีอายุพอ ๆ กัน นครหลวงในยุโรปล้วนมาอายุนับพันปี กรุงโรมมีอายุถึง 2,800 ปี ทำไมเขาไม่คิดย้ายเฉกเช่นที่นักผังเมืองไทยคิดต่อกรุงเทพมหานครที่มีอายุเพียง 233 ปีบ้าง แนวคิดการย้ายเมืองหลวงคงมีข้อผิดพลาดอย่างแน่นอน
ลองย้อนกลับมายังกรุงลอนดอน ปรากฏว่ารัฐบาลอังกฤษมีกระทรวงต่าง ๆ ถึง 24 แห่ง แต่ส่วนมากมักจะตั้งอยู่ในเขตใจกลางเมืองเป็นสำคัญเป็นสำคัญ น่าแปลกไหมอังกฤษมีประชากรพอ ๆ กับไทย เป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลก แต่กลับสามารถใช้พื้นที่ในใจกลางเมืองทำการบริหารรัฐกิจโดยไม่ต้องย้ายออกไปนอกเมืองเช่นประเทศที่กำลังพัฒนาทั้งหลาย ชอบนักที่จะสร้างเมืองใหม่ ทำเนียบรัฐบาลของเขามีขนาดเล็กกว่าของไทยอย่างเทียบกันไม่ติด กระทรวงทบวงกรมต่าง ๆ ก็มีขนาดกะทัดรัดแต่บริหารงานอย่างมีประสิทธิภาพ
ย้ายเมืองหลวง: วาระซ่อนเร้น
“วาระซ่อนเร้น” ของการย้ายเมืองหลวงนั้น อาจเป็นเพราะข้าราชการต้องการจะสร้าง “อัครสถาน” ให้ตนเองได้ทำงานโดยถลุงงบประมาณไปเป็นอันมาก แต่ได้ผลตอบแทนน้อย ลองนึกดูว่าศูนย์ราชการที่สร้างขึ้นที่แจ้งวัฒนะ ถ้าที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นของเอกชน จะก่อสร้างอาคารแบบหลวม ๆ เช่นนี้หรือ มีใครเคยเดินจากถนนแจ้งวัฒนะเข้าไปจนถึงอาคารศูนย์ราชการบ้างไหม ส่วนมากคงเดินไม่ไหวเพราะไกลกันเหลือเกิน
ยิ่งกว่านั้นการที่มีข่าวว่าจำนวนนายพลไทยยังมีมากกว่าสหรัฐอเมริกา แสดงว่าระบบราชการไทยใหญ่โตเทอะทะเกินเหตุ ใช้เงินงบประมาณ ใช้สถานที่มากเกินความต้องการ อย่างงบประมาณแผ่นดินไทยปีหนึ่ง ๆ ค่าใช้จ่ายหลักประมาณ 70-80% ก็คือค่าจ้างข้าราชการและค่าใช้จ่ายประจำ เงินลงทุนเพื่อพัฒนาประเทศเป็นเพียงส่วนน้อย ด้วยระบบราชการที่ใหญ่โตเช่นนี้จึงทำให้ต้องย้ายออกจากเขตใจกลางเมืองเดิม
อนุรักษ์เมืองแบบ “คนตายขายคนเป็น”
ความคิดผิดเพี้ยนของการย้ายเมืองอีกอย่างหนึ่งก็คือ การอ้างถึงการรักษาศิลปวัฒนธรรมหนึ่งจนทำลายศิลปวัฒนธรรมอีกอันหนึ่ง คิดง่าย ๆ ก็จะเห็นได้ว่า ถ้าเป็นสมัยนี้ เราคงไม่มีโอกาสสร้างสะพานพระปิ่นเกล้า เพราะคงถูกหาว่าไม่ต้องตามการพัฒนาเกาะรัตนโกสินทร์ เราถึงขั้นทำลายอาคารศาลฎีกาเดิม เพียงอ้างว่าไม่ต้องกับอาคารแบบ “รัตนโกสินทร์” ทั้งที่ในวังหลวงเองก็มีอาคารสถาปัตยกรรมยุโรปมากมาย เรา “บ้า” เข้าขั้นถึงขนาดทุบศาลาเฉลิมไทย ที่สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองการเปลี่ยนชื่อประเทศจากสยามเป็นไทย ทั้งที่อาคารก็ยังแข็งแรงกว่าศาลาเฉลิมกรุงด้วยซ้ำ ดูอย่างลอนดอน ปารีส ฯลฯ อาคารศิลปกรรมสมัยใหม่และเก่ากลับอยู่ร่วมกันได้อย่างไม่อายกัน
แต่เดิมสนามหลวงเป็นศูนย์รวมรถประจำทาง ก็ถูกยกเลิกไป อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยที่ถือเป็นใจกลางเมือง กม.0 ของ กรุงเทพมหานคร ก็ไร้ความหมาย รถไฟฟ้าที่จะวิ่งข้ามสะพานพระราม 7 ก็เป็นหม้าย แม้จะสร้างสะพานรถไฟฟ้าเตรียมไว้แล้วก็ตาม ดังนั้นใจกลางเมืองของไทยจึงขาดการพัฒนาเพราะขาดระบบขนส่งมวลชน และค่อย ๆ เหี่ยวเฉาลงไป ทั้งเยาวราช สำเพ็ง บางลำพู ฯลฯ ศูนย์กลางเมืองก็ขยายไปออกไปรอบนอกอย่างไร้ทิศผิดทาง
อยู่ที่นี่ สู้ตรงนี้
ถ้าเรารักษาใจกลางเมืองไว้อย่างยุโรปหรือโตเกียว โอซากา โซล เราก็ควรวางระบบขนส่งมวลชนที่ดี แต่นี่เรากลับล้มเลิกไปหมด หรือถ้าจะสร้างเมืองใหม่ ก็สร้างชิดติดกับใจกลางเมืองเดิม ไม่ใช่สร้างออกไปนอกเมือง เช่น การสร้างผู่ตงที่อยู่คนละฝั่งกับใจกลางเมืองเซี่ยงไฮ้ ถูเทียมที่อยู่คนละฝั่งกับใจกลางโฮจิมินห์ซิตี้ ดีซีซิตี้ที่อยู่คนละฝั่งกับใจกลางกรุงเวียนนา ก็ยังทำได้
ยิ่งกว่านั้นทางเลือกหนึ่งในการขยายเมืองก็คือ การ “สร้างเมืองซ้อนเมือง” โดยเอาสถานที่ราชการ เช่น ท่าเรือ ค่ายทหาร หรืออื่น ๆ มาสร้างเป็นศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) ใหม่ ในกรุงลอนดอนก็มีการแปลง London Docklands มาใช้เพื่อการพาณิชย์ ในกรุงมะนิลาก็ย้ายค่ายทหารใจกลางเมืองออกไปทำศูนย์การค้า ท่าเรือคลองเตยและที่ดินรถไฟริมแม่น้ำเจ้าพระยาก็มีพื้นที่รวมกันเกือบ 3,000 ไร่ สามารถมาสร้าง CBD ในใจกลาง CBD ได้เลย
การย้ายเมืองหลวงจะสร้างต้นทุนโดยไม่จำเป็นอีกมหาศาล ถือเป็นแนวคิดแบบจนตรอกของพวกที่ชมชอบการ “ล้มกระดาน” ด้วยการย้ายกรุง ไปสร้างปัญหาที่ใหม่ ทั้งที่มหานครอื่นอยู่กันมานับพันปียังอยู่ได้ ไทยต้องจัดการวางแผนพัฒนาเมืองให้ดีกว่านี้ ไม่ใช่เอะอะจะชอบแต่ย้ายท่าเดียว ถ้าไทยยังวางผังเมืองส่งเดชเช่นทุกวันนี้ กรุงเทพมหานครจะยิ่งเละเทะ แต่การไปสร้างที่ใหม่คงแก้ปัญหาไม่ได้
ต้องปฏิวัติ ปฏิรูปแนวคิดการวางผังเมืองเสียแต่วันนี้ แต่โดยใช้สภาที่เป็นผู้แทนของประชาชน ไม่ใช่สภาที่ประชาชนไม่มีส่วนร่วมด้วย
ที่มา ศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย
เปิด 8 ทำเลทองยอดขายดี สวนกระแสตลาดอสังหาฯขาลง
ทำไม ทำเลสถานีอ่อนนุชยังคึกคักเปิดขายต่อเนื่องคนแห่ซื้อ