ภาคเอกชนออกโรงเตือน รัฐบาล ระวังโครงการเมกะโปรเจ็กต์จะเจอวิกฤติด้านวัสดุก่อสร้าง เปิดเวทีใหญ่ดึงทุกภาคส่วนระดมสมองหาทางออกก่อนโครงการล่ม
นายสมพร อดิศักดิ์พานิชกิจ เลขาธิการสภาการเหมืองแร่ เปิดเผยว่า การที่รัฐบาลได้วางโครงการเมกะโปรเจ็กต์ต่างๆ โดยเฉพาะการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ทั้งรถไฟทางคู่ รถไฟความเร็วสูงไทย-จีน และไทย-ญี่ปุ่น ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหรือมอเตอร์เวย์ การขยายและพัฒนาสนามบิน ท่าเรือนํ้าลึก โครงการ EEC ฯลฯ ถือเป็นเจตนาที่ดีเป็นความถูกต้องในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งภาคเอกชนให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่
แต่สิ่งที่ภาคเอกชนกังวลก็คือการที่ผู้รับเหมางานก่อสร้างจะไม่สามารถหาวัสดุก่อสร้างประเภท หิน ดิน ทราย โดยเฉพาะหินโรยทางโครงการรถไฟ มาใช้ได้อย่างเพียงพอ อันเนื่องมาจากอุปสรรคในการทำเหมืองแร่นับตั้งแต่ต้องรอการกำหนดเขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมือง และการขออนุญาตใช้พื้นที่เพื่อการทำเหมือง เช่นพื้นที่ส.ป.ก. พื้นที่ป่าไม้ เป็นต้น
อย่างไรก็ตามเพื่อให้โครงการลงทุนขนาดใหญ่ของไทยประสบความสำเร็จซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนส่วนรวม ขณะที่ภาคเอกชนก็อยู่รอดได้ สภาการเหมืองแร่จึงร่วมกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สมาคมอุตสาหกรรมย่อยหินไทย ชมรมสินแร่อุตสาหกรรมและวัสดุก่อสร้าง จัดการสัมมนาภายใต้หัวข้อ “สัญญาณเตือน…เมกะโปรเจ็กต์ไทยและอุตสาหกรรมก่อสร้าง” ในวันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคมนี้ เพื่อเป็นเวทีในการที่จะสะท้อนปัญหาจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อหาทางเตรียมและปรับแก้ไขไม่ให้เกิดปัญหาไปกระทบต่อการพัฒนาประเทศ โดยดร.ไพรินทร์ ชูโชติถาวร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม จะเป็นผู้เปิดงานและปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “แผนการลงทุนเมกะโปรเจ๊กต์ของรัฐกับโอกาสการพัฒนาเมือง”
ในวันเดียวกันนั้น นางสาวพจณี อรรถโรจน์ภิญโญ รองเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษ ภาคตะวันออกจะบรรยายเรื่อง “โครงการEECกับผลบวกต่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง” นายชัยวัฒน์ ทองคำคูณ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร จะบรรยาย “แผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทั่วไทยใน 1 ทศวรรษ” และนายศิวะ มหาสันทนะ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด(มหาชน) จะบรรยาย “ความต้องการและแผนผลิตวัสดุก่อสร้างเพื่อตอบสนองแผนการพัฒนาประเทศยุค THAILAND 4.0” รวมถึงการเสวนาเรื่อง “เมกะโปรเจ็กต์ไทย ปัญหาและทางออกด้านวัสดุก่อสร้าง” ที่ได้ระดมผู้แทนส่วนราชการและนักวิชาการมาขึ้นเวทีแสดงความคิดเห็นอย่างเต็มพิกัด
ที่มา หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ