ปฏิเสธไม่ได้เลยนะครับว่า เชื้อโรคระบาด “COVID-19” ที่เราเผชิญหน้าอยู่ในปัจจุบัน เป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักให้เราเข้าสู่ยุค New Normal มากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งการทำงานที่ตอนนี้หลายคนต้อง Work From Home การเรียนที่ต้องปรับเปลี่ยนมาเป็นรูปแบบออนไลน์ หรือแม้กระทั่งเทรนด์ของ ‘การเลือกซื้อบ้าน’ เอง ก็มีแนวโน้มที่จะให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีและความปลอดภัยมากขึ้น และนี่น่าจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ ‘บ้านอัจฉริยะ’ กำลังจะเข้ามามีบทบาทกับเรามากยิ่งขึ้น
บ้านอัจฉริยะ : Smart Residence เทรนด์มาแรงในยุค Covid-19
Smart Residence หรือบ้านอัจฉริยะ เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะนอกจากจะเป็นบ้านที่รู้ใจคนมากขึ้น มีฟังก์ชันภายในบ้านที่เต็มไปด้วยความยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนและออกแบบได้ตามใจ หรือมีอุปกรณ์ในบ้านเริ่มสื่อสารกันเองได้ผ่านอินเทอร์เน็ตได้ ซึ่งช่วยทำให้คนสะดวกสบายมากขึ้นแล้ว
เทรนด์บ้านแนวใหม่ยังต้องทำให้ชีวิตของเรารู้สึกปลอดภัยได้ โดยเฉพาะในยุคที่มนุษย์ต้องเผชิญหน้ากับความเสี่ยงเรื่องโรคภัยต่างๆ อย่าง Covid-19 ดูจะเป็นตัวช่วยกระตุ้นให้บ้านอัจฉริยะกลายเป็นบ้านทางเลือกที่น่าสนใจทีเดียวเลยครับ
ซึ่งเทรนด์บ้านอัจฉริยะนี้เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดเลยครับ โดยได้รับยืนยันได้จากงานวิจัยของบริษัท เมสเซ่ แฟรงก์เฟิร์ตนิว เอร่า บิซิเนส มีเดีย จำกัด ที่ศึกษาการเติบโตของตลาด Smart Residence ในประเทศไทย โดยระบุว่า ตลาดผลิตภัณฑ์ Smart Home ของประเทศไทยในปี 2559 มีมูลค่า 645 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัวในปี 2563 โดยมีมูลค่าอยู่ที่ 2,500 ล้านบาท หรือเติบโตเฉลี่ย 40% ต่อปี โดยแบ่งเป็น…
- ผลิตภัณฑ์ Smart Residence เพื่อการดูแลผู้สูงอายุเติบโตสูงสุด 60%
- ผลิตภัณฑ์ Smart Home เพื่อการรักษาความปลอดภัยจะเติบโตเป็นอันดับ 2 คือ 45% ต่อปี
ในขณะที่ IDC สถาบันวิจัยด้านการตลาดของสหรัฐฯ ระบุว่า จำนวนอุปกรณ์ Smart Residence ของโลก มีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 31% ต่อปี จากจำนวน 644 ล้านเครื่อง ในปี 2561 จะเพิ่มเป็น 1,300 ล้านเครื่อง ในปี 2565 หรือเพิ่มขึ้นมากกว่า เท่าตัวภายในระยะเวลาเพียง 3 ปี
จะเห็นได้ว่า เทรนด์อสังหาฯ ยุคใหม่ให้ความสำคัญกับการอยู่อาศัยที่สะดวกสบายและปลอดภัยมากยิ่งขึ้นมากกว่าแต่ก่อน ยิ่งในยุคที่คนเราจำเป็นต้องดูแลสุขภาพให้ห่างไกลจากโรคระบาด ‘บ้าน’ จึงต้องเป็นมากกว่าบ้าน และควรจะเป็นหนึ่งในปราการสำคัญที่ทำให้การใช้ชีวิตในพื้นที่ภายในบ้านเป็นไปอย่างราบรื่น ทั้งการทำงานและการพักผ่อน จะต้องทำให้เกิด Work-Life Balance ได้มากกว่าที่เคย
3 เรื่องสำคัญที่บ้านอัจฉริยะต้องมี
แล้วอะไรคือสิ่งที่ ‘บ้านอัจฉริยะ’ ในยุค New Normal ต้องมี?
เรื่องนี้มีคำตอบให้ครับจากวิจัยของลุมพินี วิสดอม ที่ระบุถึงแนวโน้มของการพัฒนาที่อยู่อาศัยให้ตอบโจทย์กับการใช้ชีวิตแบบ New Normal ของคนในตอนนี้มากขึ้น ซึ่งผลปรากฏว่า หลังการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ได้มีการพัฒนาการออกแบบที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์กับการใช้ชีวิตของคนยุคใหม่มากขึ้น โดยคำนึงถึง 3 ปัจจัยหลักในการออกแบบบ้านสมัยใหม่ ได้แก่
- การออกแบบพื้นที่ใช้สอยและวัสดุ (Function & Material)
- การออกแบบโดยให้ความสำคัญกับสุขอนามัย (Health)
- การใช้เทคโนโลยี Internet of Things (IoTs)
การออกแบบพื้นที่ใช้สอยและวัสดุ (Function & Material)
เชื่อได้เลยว่า หลังจากการระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านๆ มา ทำให้พฤติกรรมในชีวิตของคนเราเปลี่ยนไปไม่มากก็น้อย หลายคนจะต้องอยู่บ้านมากขึ้น ทั้งเด็กๆ นักเรียน นักศึกษากว่า 70% ที่ได้รับผลกระทบจากการปิดโรงเรียนในช่วงโรคระบาดจนต้องเรียนออนไลน์ หรือคนทำงานเองก็ต้องหยิบระบบการทำงานแบบ Work From Home มาใช้ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อซึ่งกันและกัน
แน่นอนว่า “โลกหลังโควิด 19” จะไม่หวนกลับไปสู่โลกก่อนโควิด 19 เนื่องจากหลายๆ อย่างเกิดการปรับตัวและเปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างมาก โดยเฉพาะการใช้ชีวิตภายในบ้านที่ต้องการ Space ในการทำงานและอยู่อาศัยร่วมกันมากยิ่งขึ้น
การออกแบบพื้นที่อยู่อาศัยในปัจจุบันผู้ประกอบการอสังหาฯ จึงต้องออกแบบให้มีพื้นที่ที่มีความยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนการใช้สอยในพื้นที่ได้ในแบบ Multifunctional Space ทั้งการเลือกใช้วัสดุภายในบ้านที่จะต้องปรับเปลี่ยนการใช้สอยได้ง่าย ทำให้บ้านดูโปร่ง เหมาะกับการเป็นที่อยู่อาศัยและทำกิจกรรมได้ในระยะยาว เช่น การเปลี่ยนผนังทึบให้เป็นประตูบานเลื่อนหรือบานเฟี้ยมที่สามารถเปิดเพื่อเชื่อมต่อพื้นที่ภายในที่อยู่อาศัย, การใช้วัสดุที่เช็ดทำความสะอาดได้ง่าย กันน้ำได้ดี และระบายอากาศ, การจัดสรรให้มีพื้นที่อ่านหนังสือ-พื้นที่นั่งเล่นภายใต้แสงธรรมชาติที่เหมาะสม เป็นต้น
การออกแบบโดยให้ความสำคัญกับสุขอนามัย (Health)
จากการแพร่ระบาดของ COVID-19 รวมถึงปัญหาฝุ่น PM 2.5 ทำให้คนเราหันมาใส่ใจในเรื่องสุขภาพกันมากยิ่งขึ้น ดีเวลลอปเปอร์แต่ละเจ้าจึงต้องพัฒนาบ้านให้สามารถสร้างความปลอดภัยในด้านสุขภาพให้มีมากขึ้นด้วย เช่น การออกแบบระบบควบคุมการไหลเวียนอากาศภายในบ้านที่ช่วยทำให้อากาศถ่ายเท ระบบช่วยลดไวรัสและแบคทีเรียภายในอากาศ
รวมไปถึงการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยไร้สารเคมี เช่น สีทาบ้าน Low VOCs ซึ่งได้รับการรับรองว่ามีการปล่อยสาร VOCs หรือสารอินทรีย์ระเหยง่ายที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพในระดับต่ำ, การใช้ลามิเนตที่ป้องกันแบคทีเรียและไวรัสได้ในตัวเอง เป็นต้น
การใช้เทคโนโลยี Internet of Things (IoTs)
แน่นอนว่า การจะเป็นบ้านอัจฉริยะได้ก็ต้องเป็นบ้านที่กำลังฉลาดและรู้ใจผู้อยู่อาศัยได้มากยิ่งขึ้น ด้วยการติดตั้งอุปกรณ์อัจฉริยะภายในบ้าน หรือที่เรียกกันว่า Internet of Things ทั้งนี้ ก็เพื่อสร้างความสะดวกสบายและ ความปลอดภัยในการอยู่อาศัยให้มีมากกว่าเดิม
ยกตัวอย่างการติดตั้งอุปกรณ์อัจฉริยะที่โครงการบ้านยุคใหม่ควรมี เช่น ระบบการเปิดไฟอัตโนมัติเมื่อเราถึงบ้าน ระบบการเปิดแอร์ด้วยอุณหภูมิที่เหมาะสม รวมถึงใส่ใจไปถึงการประหยัดพลังงาน ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่าย เป็นต้น
นอกจากนี้ยังรวมไปถึงด้านความปลอดภัยที่บ้านสมัยใหม่ควรมีระบบความปลอดภัยที่สามารถสั่งการผ่าน Application ได้ เช่น กล้องวงจรปิด, ระบบเซนเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหว, เซนเซอร์ที่ประตู-หน้าต่าง, Digital Door Lock เป็นต้น
ดูเหมือนว่า Smart Residence หรือบ้านอัจฉริยะจะถูกพัฒนาไปพร้อมๆ กับการพัฒนาเทคโนโลยี 5G เพื่ออำนวยความสะดวกในการอยู่อาศัย และตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปมากขึ้น ก็หวังว่า ในอนาคตเราจะสามารถเป็นเจ้าของบ้านอัจฉริยะได้ในราคาที่สมเหตุสมผล (Affordable Price) และช่วยยกระดับการใช้ชีวิตของคนไทยให้ดีขึ้นได้ในทุกๆ มิติอย่างแท้จริงนะครับ
ที่มา: https://www.naewna.com/lady/588382