วันนี้เรามีประสบการณ์ จากคุณ HappyAries สามารถชิกจากเว็บไซต์ pantip.com มาฝากเกี่ยวกับการขอ กู้ซื้อบ้าน ถ้าเจ้าของเรื่องทำงานประจำการกู้เงินคงไม่ใช้เรื่องยาก แต่เจ้าของกระทู้มีอาชีพเป็นแม่ค้าขายของออนไลน์เต็มตัวทำให้การขอกู้อาจจะทำได้ยากกว่า เอาละค่ะเพื่อไม่ให้เสียเวลาเราไปชมกันเลย
ประสบการณ์การ กู้ซื้อบ้าน ของแม่ค้าขายของออนไลน์เต็มตัวค่ะ BY HappyAries
สวัสดีค่ะ วันนี้เราอยากมาแชร์เรื่องการกู้เงินซื้อบ้านของอาชีพขายของออนไลน์ค่ะ แต่คิดว่าใช้ได้กับอาชีพอิสระทุกอาชีพนะคะ เราได้อ่านมาจากในพันทิปเยอะ เลยอยากแบ่งปันประสบการณ์คืนให้บ้างค่ะ ^^ ก่อนที่จะเล่า เราขออธิบายให้ฟังก่อนว่า ที่มาของรายได้ของเรามีอะไรบ้าง ภาระของเรามีอะไรบ้าง เพื่อความเข้าใจที่ตรงกันค่ะ
เราขายของออนไลน์กับแฟนเต็มตัว เป็นธุรกิจหลักของเราเลย และขายผ่านหน้าเว็บเท่านั้น (มีทางหน้าร้านนิดหน่อยประมาณ 5% ของรายรับทั้งหมด) และไม่ว่าลูกค้าจะโทรมาสั่ง หรือทักไลน์ หรือแชทมาทาง FB เราเอาลงตะกร้าให้ลูกค้าหมดเลยค่ะ (ตรงนี้สำคัญในตอนหลังๆ เลยต้องบอกค่ะ)
รายได้ขอแยกเป็นดังนี้นะคะ : รายได้ของร้านก่อนหักค่าใช้จ่ายเรามีประมาณหนึ่ง (เราแก้ไขเอาตัวเลขออกนะคะ เพราะคนทักเยอะจัง = =) ระยะเวลาในการขายของออนไลน์ : ประมาณ 8-9 เดือนเท่านั้น (เป็นจุดด้อยที่สุด)
ชื่อที่ใช้กู้ซื้อบ้าน : ชื่อแฟนเราคนเดียว ไม่ได้กู้ร่วม เพราะชื่อเราติดแบลคลิส (ที่เราไม่ได้เป็นคนทำ) และด้วยเหตุนี้เราเลยวางแผนการเงินของเราให้เดินที่บัญชีของแฟนทั้งหมด ก็เลยใช้ชื่อแฟนซื้อคนเดียวไปเลยค่ะ
ภาระการผ่อนชำระของแฟนมีอะไรบ้าง : ผ่อนรถเดือนละ 8,000 บาท (เพิ่งผ่อนไม่กี่เดือน) และผ่อนคอนโดเดือนละ 4,000 บาท (อันนี้คุณพ่อเค้าเป็นคนผ่อน ขอยืมชื่อแฟนเราไปใช้ซื้อเฉยๆ ค่ะ)
บ้านที่เราทำเรื่องกู้ : บ้านมือหนึ่ง ทาวเฮ้าส์ 21.6 ตรว. 3 ชั้น ราคาบ้านอยู่ที่ 3.89 ล้าน แต่เซลล์ยื่นกู้ไปให้ประมาณ 4.3 ล้าน เราเลือกผ่อนแบบ 30 ปี ก็จะอยู่ที่เดือนละราวๆ 2X,XXX
***ที่เราแจ้งเงินเดือนเรากับแฟนให้ได้ทราบก็เพราะอยากให้เห็นว่าเรา 2 คนเลือกราคาที่เราพอรับได้แบบสบายๆ ไม่ตึงมาก และหากมีปัญหาก็สามารถดึงเงินเก็บมาใช้ได้ค่ะ
โดยขั้นตอนการกู้เงิน เราให้ทางโครงการเป็นคนดูแลให้ เค้าเลือกยื่นให้ 3 ธนาคาร คือ สีส้ม สีน้ำเงิน และสีม่วง (จริงๆ เราอยากให้ยื่นสีชมพูกะธอส. ด้วยแต่สุดท้ายมีปัญหานิดหน่อยก็ไม่ได้ยื่นค่ะ) และเราได้ไปลองคุยกับ ธอส. เอง ปรากฎว่าเค้าบอกว่าเคสของเราค่อนข้างยาก เพราะขายของมาได้ไม่ถึงปี (เค้าจะเอาย้อนหลัง 2 ปี) และไม่มีใบจดทะเบียนการค้า (เราเพิ่งไปจดมาไม่ถึงเดือน ณ ตอนที่ยื่นกู้) คือ จนท.พูดเลยว่าเค้าไม่ค่อยรับเคสนี้ ผ่านยาก และเค้าแนะนำว่าให้โครงการยื่นให้จะมีโอกาสผ่านมากกว่า เราก็เลยตามนั้นก็ได้
เอกสารกู้เงินที่ใช้ยื่น กู้ซื้อบ้านที่เราใช้ยื่นมีตามนี้
- รายการเดินบัญชีย้อนหลัง 6 เดือน ทุกธนาคาร
- ใบปริ๊นหน้าเว็บไซต์ และ หน้า fanpage จริงๆ เค้าขอแค่หน้าเว็บแหล่ะ แต่เรายื่นหมดอ่ะ เยอะไว้ก่อนเป็นดี เพราะแฟนเพจเราตอนนั้นยอดไลค์จะสองแสนแล้วด้วย เลยต้องส่งไป 555 (ตอนนี้สามแสนกว่าไลค์แล้วค่ะ ขออวดหน่อย 555)
- ปริ๊นหน้าเอกสารการจดโดเมนเนม (จริงๆ ถ้าได้เป็นทะเบียนพาณิชย์อิเลคโทรนิคส์ได้จะดีมาก แต่ของเรามันจดไปแค่เดือนเดียวเองเลยขอส่งเอกสารการจดโดเมนไปแทน เพราะจดโดเมนมานานกว่า)
- รูปถ่ายสต๊อคสินค้า รูปถ่ายหน้าร้าน รูปถ่ายกล่อง ปณ. ที่ส่งให้ลูกค้า (จริงๆ เค้าขอแค่รูปถ่ายสต๊อคสินค้ากับหน้าร้าน แต่เราแอบยื่นรูปถ่ายกล่องปณ. ไปด้วย ปกติวันที่มีส่งเยอะๆ 1-200 ออร์เดอร์เราถ่ายเก็บไว้อยู่แล้ว ก็เลยเอามาใช้ซะ)
- ใบเสร็จรับเงินของลูกค้า เราว่าตรงนี้สำคัญมากนะ เราเคยอ่านเจอของท่านนึง เค้าแนะนำว่าให้ปริ๊นตรงนี้ส่งไปด้วย กระทู้นี้เป็นจุดเปลี่ยนของเราเลย ทำให้เราย้ายการสั่งของมาไว้ที่หน้าเว็บทั้งหมด (อันนี้คือเหตุผลที่เราลงตะกร้าสินค้าให้ลูกค้าทุกคนค่ะ) เพราะเราจะออกใบเสร็จให้ลูกค้าทุกคนที่สั่งกับเรา เพื่อการนี้โดยเฉพาะเลย ออกให้ลูกค้า 1 ใบ เก็บไว้ 1 ใบ
ตรงนี้อาจจะดูสิ้นเปลืองกระดาษแต่สำหรับเราเราว่ามันโอเคมาก เพราะถ้าเราลงตะกร้าให้ลูกค้า นั่นเท่ากับว่าเรามีข้อมูลลูกค้าอยู่ในมือแล้ว เวลาเรามีโปรโมชั่นอะไร เราก็สามารถส่งเมลไปหาลูกค้าได้ทุกคน ณ ปัจจุบันเรามีเมลลูกค้ากว่าหมื่นอีเมล ซึ่งเราคิดว่ามันดีมากๆ และโดยปกติ เราทำงานเป็นระบบมากๆ เราเขียนระบบปริ๊นใบเสร็จมาใช้เอง (เราเคยเปิดบริษัทรับทำเว็บไซต์มาก่อน เลยได้เปรียบตรงนี้) เราใช้เป็นกระดาษความร้อนที่เป็นบิลยาวๆ หน้ากว้าง 8 ซม. ก็จะไม่เปลืองค่าหมึก โดยใน 1 ออร์เดอร์จะปริ๊นออกมา 2 ส่วน คือส่วนที่เป็นใบจัดของ ให้ พนง.จัดของส่งให้ลูกค้า ทำเป็น Check List ป้องกันการผิดพลาด และ อีกส่วนเป็นใบเสร็จให้ลูกค้าว่าเค้าสั่งอะไรบ้าง ตรงนี้ก็จะดีกับทั้ง 2 ฝ่าย สามารถ cross-check ได้ว่าได้รับของครบมั้ย คุณสั่งอะไรไปบ้าง
ถามว่าต้องให้ใบเสร็จไปเยอะแค่ไหน คำตอบคือให้เยอะได้เท่าไหร่ก็ให้ไปเถอะ ตอนแรกเรายื่นไปแค่ 10-20 ใบ เพราะขี้เกียจถ่ายเอกสาร (บิลของเรายาวๆ เป็นกระดาษความร้อนเหมือนเซเว่นเลย ก็เลยต้องถ่ายเอกสารส่งให้เค้า) แต่ท้ายสุดทางธนาคารก็มาขอเพิ่มอยู่ดีเพราะยอดที่ลูกค้าโอนเข้าธนาคารมันไม่มีที่มาที่ไป เค้าก็เลยต้องมาขอเพิ่ม เราเลยไปงัดของเก่าเก็บ 4 เดือนที่แล้วมาให้ คือให้ตัวจริงไปเลย มันเยอะมากจริงๆ เป็นหลายร้อยใบ ขี้เกียจถ่ายมากๆ (ขออธิบายเพิ่มเติมหน่อยค่ะ ที่เราให้ตัวจริงไปเลยเพราะแบงค์ม่วงมาขอแค่แบงค์เดียว อีกสองแบงค์เค้าขอเอกสารเพิ่มเติมไปแล้วและอยู่ในขั้นตอนพิจารณา และแบงค์ม่วงเนี่ยเป็นแบงค์ที่เข้ามาขอเอกสารเป็นแบงค์สุดท้าย เราก็คิดว่าคงไม่มีแบงค์ไหนมาขอแล้ว ก็เลยให้ไป แต่สุดท้ายเค้าก็เอามาคืนค่ะ)
ใบสั่งซื้อของต่างๆ โดยปกติของที่เราขายเราก็จะนำเข้ามาจากต่างประเทศ ก่อนการซื้อขายก็จะมีใบ PI เสนอมาให้ก่อนอยู่แล้ว ตรงนี้เราก็ปริ๊นเก็บเอาไว้ทุกใบ แล้วก็ถ่ายเอกสารให้แบงค์ไปค่ะ (ส่วนนี้เราไม่ได้ถ่ายรูปไว้) เราให้ไปประมาณ 4-5 ใบ แต่ยอดการสั่งซื้อก็เยอะอยู่ค่ะ
จบเรื่องการเตรียมเอกสารเท่านี้ค่ะ ต่อไปจะเป็นขั้นตอนการประเมิน ใครขี้เกียจอ่านเราขอสรุปให้เลยค่ะว่าเราผ่าน ยื่น 3 แบงค์ ผ่าน 1 แบงค์ค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลจากคุณ HappyAries สามารถชิกจากเว็บไซต์ pantip.com
แนวคิดประสบการณ์ตรง ผ่อนบ้าน 25-30 ปี ยังไงให้รอด
12 ขั้นตอน กู้เงินสร้างบ้าน กับ ธอส. ในที่ดินตัวเอง แบบละเอียด