DotProperty.co.th

หวั่นหากเกิดสงครามฉุดเศรษฐกิจโลก กระทบอสังหาฯไทยทรุด

ลลิลฯ หวั่นเกิด สงคราม สหรัฐฯ-อิหร่าน ฉุดเศรษฐกิจโลก กระทบอสังหาฯทรุด ระบุ “เดินไล่ลุง” แค่จิ๊บๆ เหตุอสังหาฯเคยพัง เหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองมาเยอะ พร้อมปรับแผนธุรกิจทุก 3 เดือนรับมือเหตุไม่คาดฝัน เผยปี 63 เปิดตัว 9-11 โครงการ มูลค่า 5,000-5,500 ล้านบาท เป้ายอดขาย 6,200 ล้านบาท รับรู้รายได้ 5,200 ล้านบาท เติบโต 13%

สงคราม ฉุดเศรษฐกิจโลก กระทบอสังหาฯไทยทรุด

นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาคธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์ ไม่ใช่ธุรกิจที่เติบโตได้ด้วยตัวเอง แต่เป็นธุรกิจที่เติบโตภายใต้ปัจจัยหนุนทางด้านเศรษฐกิจ ดังนั้น สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่าง สหรัฐอเมริกาและอิหร่าน เป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือหากเกิดสงครามขึ้น เนื่องจากจะส่งผล กระทบต่อ การหดตัวของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะประเทศคู่ค้าหลักๆ ของประเทศไทย เช่น สหรัฐฯ สหภาพยุโรป รวมถึงประเทศจีน รวมถึงส่งผลต่อการขยายตัวของ GDP ประเทศไทยในปี 63 นี้ด้วย

“ปัจจัยที่น่ากังวล คือ สงครามระหว่างสหรัฐฯและอิหร่าน จะส่งผลต่อราคาน้ำมันและการขยายตัว ของเศรษฐกิจโลก แน่นอนว่าอสังหาฯจะได้รับผลกระทบไปด้วย ส่วนปัญหาการเมืองในประเทศ เป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการมีประสบการณ์ ผ่านปัญหาความขัดแย้งของกลุ่มต่างๆมาแล้ว ดังนั้น เหตุ “เดินไล่ลุง” จึงไม่น่ากังวลเท่ากับปัญหา สงครามที่จะเกิดขึ้น เพราะขนาดของผลกระทบต่างกันมาก”

 

ภาพรวมตลาดอสังหาฯในปี 2563

สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาฯในปี 2563 คาดว่าจะยังทรงตัวอยู่ในระดับเดิมจากปี 62 เนื่องจากผู้ประกอบการชะลอการลงทุนในตลาด คอนโดมิเนียม ซึ่งจากข้อมูล ซีบีอาร์อี ระบุว่า มีคอนโดฯเปิดใหม่ลดลง 20% ขณะที่ตลาดแนวราบ ทางบริษัทลลิลฯคาดว่าจะสามารถขยายตัว 2-4% เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากมาตรการของภาครัฐ ที่ทำให้ผู้บริโภคที่เข้าร่วมโครงการจะเริ่มโอนบ้านในช่วงไตรมาสแรกของปี 2563

“จากทิศทางดังกล่าว ทำให้ในปีนี้ ลลิล ยังคงเน้นพัฒนาสินค้าในกลุ่มแนวราบระดับราคา 2-6 ล้านบาท โดยใช้กลุ่มสินค้าบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม แบรนด์แลนด์ซิโอ และแบรนด์ไลโอ เป็น หัวหอกหลักในการทำตลาด ซึ่งในปีนี้ ยังคงเน้นทำตลาดในโซนกรุงเทพฯ และปริมณฑลเป็นหลักในสัดส่วน 80% ที่เหลืออีก 20% จะเป็นโครงการในต่างจังหวัด”

โดยในปี 63 บริษัทมีแผนจะลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ 9-11 โครงการ มูลค่า 5,000-5,500 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขายรวม 6,200 ล้านบาท มียอดรับรู้รายได้ 5,200 ล้านบาท หรือมีอัตราการเติบโตของรายได้รวม 13% จากปี 62 โดยปัจจุบัน มีสินค้าคงค้าง(สต๊อก)ประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ทั้งหมดในปีนี้

นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ กล่าวว่า ในปีนี้จะเน้นการตลาดเชิงรุก โดยตั้งเป้าว่าจะผลักดันแบรนด์ ลลิล ขึ้นเป็น National Housing Company หรือเป็น Top of mind ในใจผู้บริโภค โดยมี ลลิลฯ เป็นหนึ่งใน Top 3 ของแบรนด์บ้านระดับราคา 2 -6 ล้านบาท เมื่อลูกค้าคิดถึง หรือคิดจะซื้อที่อยู่อาศัยระดับราคา 2-6 ล้านบาท โดยจะนำเอากลยุทธ์ Lifestyle Marketing มาสื่อสารกับลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่เพื่อเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย

“อย่างไรก็ตาม เพื่อป้องกันปัจจัยลบ ที่คาดไม่ถึงจะเข้ามากระทบตลาดอสังหาฯ ลลิลฯ จะมีการประเมินสถานการณ์ และปรับแผนในการดำเนินธุรกิจทุก 3 เดือนเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่อยู่นอกเหนือคาดการณ์”.

 

ที่มา: ผู้จัดการรายวัน 360 องศา