นายทะนง พิทยะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “มองเศรษฐกิจ CLMV” ซึ่งมองว่าไทยควรจะขยายการลงทุนในกลุ่มประเทศ ซีแอลเอ็มวี ซึ่งก็คือกลุ่มประเทศ กัมพูชา ลาว พม่าและเวียดนาม ที่กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาในด้านต่างๆเพื่อเตรียมพร้อมสู่การเปิดประเทศ ซึ่งตลาดกลุ่มนี้มีประชากรรวมกว่า 170 ล้านคน บริโภคสินค้าไทย และยังเป็นตลาดแรงงานในกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรม
ไทยเป็นประเทศใหญ่ที่สุดในตลาดเศรษฐกิจ ขณะที่ประเทศในกลุ่มซีแอลเอ็มวียังอยู่ในช่วงของการเปิดประเทศ ยังต้องใช้เวลาในการเปลี่ยนจากสังคมนิยมเป็นระบบตลาดเสรี
ประเทศกัมพูชา มีการส่งเสริมการลงทุนมากที่สุดในกลุ่มอาเซียน เนื่องจากมีสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังซึ่งทำให้มีโอกาสในการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้มาก
ประเทศลาว ถึงจะมีประชากรน้อย แต่ก็มีที่ดินและทรัพยากรอยู่เป็นจำนวนมาก
ประเทศพม่า การดำเนินการทางธุรกิจ มักจะใช้เงินสด ไม่มีระบบสินเชื่อ จึงเป็นโอกาสทองของธุรกิจการเงิน
ประเทศเวียดนาม เป็นฐานการผลิตและเป็นประเทศที่เติบโตอย่างรวดเร็ว
“กลุ่มซีแอลเอ็มวีเปิดประเทศต้อนรับนักลงทุนจากต่างชาติ โดยเฉพาะเพื่อนบ้านอย่างไทย จึงเป็นเรื่องที่ดีที่กลุ่มประเทศอาเซียนจะเข้าไปลงทุนเพื่อถ่วงดุลอำนาจ และลดการครอบงำของประเทศใหญ่”
คุณศิริพร นุรักษ์ ผู้อำนวยการกองส่งเสริมการลงทุนไทยในต่างประเทศ สำนักคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวถึงความน่าสนใจในการลงทุนว่า กลุ่มซีแอลเอ็มวี มีทั้งทรัพยากร แรงงานต้นทุนต่ำ และโอกาสการเติบโตทางเศรษฐกิจ ดังนั้นอุสาหกรรมที่น่าเข้าไปลงทุนนั้น ได้แก่ ธุรกิจด้านทรัพยากรธรรมชาติ, ธุรกิจที่ต้องใช้แรงงานในการผลิต และธุรกิจบริการท่องเที่ยว เป็นต้น
สำหรับปี 2556 ที่ผ่านมานั้น ไทยลงทุนในต่างประเทศคิดเป็น 1.5 หมื่นล้านดอลล่าร์ โดย 1 % เป็นการลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์ ดังนั้นจึงเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทย ที่จะเข้าไปลงทุนในที่อยู่อาศัย โรงแรม โรงงาน คลังสินค้า นอกจากนี้ผู้ประกอบการควรจะมองโอกาสในเมืองรอง เพราะในอนาคตจะกลายเป็นศูนย์กลางธุรกิจ และหากผู้ประกอบการต้องการปรึกษาปัญหาการลงทุนหรือกฎระเบียบในการลงทุน ทางบีโอไอ ก็ได้อำนวยความสะดวกในการจัดตั้งศูนย์ธุรกิจไทยในต่างประเทศเพื่อให้การสนับสนุนนักลงทุนอีกด้วย