“ภูเก็ต” เป็นจังหวัดที่สร้างรายได้เข้าประเทศมหาศาล ส่วนหนึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากธุรกิจท่องเที่ยวที่คึกคักทั้งปี ทำให้นักลงทุนชาวต่างชาติสนใจมาลงทุนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดภูเก็ตไม่ขาดสาย
แม้จะมีปัญหาเรื่องสาธารณูปโภค น้ำประปา ไฟฟ้า และอื่นๆ แต่ก็ยังมีเสน่ห์ดึงดูดให้ทุนข้ามชาติเข้าพื้นที่
ตลอดปีที่ผ่านมา ความเคลื่อนไหวการลงทุนใหม่ในภูเก็ตมีต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจบ้านพักตากอากาศสำหรับชาวต่างชาติ ซึ่งเปิดใหม่แทบทุกเดือน และเกือบ 100% เป็นสินค้าระดับไฮเอนด์ ขณะที่ความเคลื่อนไหวราคาที่ดิน ขยับเพิ่มจากปี 2550 อีกราว 30-40%
เที่ยวบินเพิ่ม13%ย้ำอสังหาบูม
สิ่งที่ยืนยันภาพความคึกคักได้ดี คือการมาเยือนของนักธุรกิจ นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ คือ จำนวนเครื่องบินที่เข้า-ออกภูเก็ต ที่เพิ่มขึ้น 13% จาก 832 ในปี 2549 เป็น 941 เที่ยวบินในปี 2550 โดยฤดูท่องเที่ยวในเดือนพ.ย. ถึง เม.ย.เป็นช่วงที่มีเที่ยวบินส่วนตัวมากสุด
นักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น สะท้อนภาพความสนใจเข้ามาลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มากขึ้นด้วย นักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่มีทั้ง รัสเซีย ตะวันออกลาง และอินเดีย เข้ามานอกฤดูกาล คือ ช่วงเดือนมิ.ย.ถึง เดือนก.ย. ขณะที่นักท่องเที่ยวหลักจากยุโรป มีอัตราเพิ่มขึ้น ทั้งจาก อังกฤษ, สแกนดิเนเวีย และยังรวมถึง ออสเตรเลีย
นักลงทุนบนเกาะภูเก็ต ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ ที่ทำงานอยู่ในทวีปเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฮ่องกง และสิงคโปร์ ซึ่งพักอาศัยและทำงานในบริเวณนี้เป็นเวลาหลายปี ค่อนข้างรู้จักเกาะภูเก็ตเป็นอย่างดี เดินทางมาภูเก็ตบ่อย จากเที่ยวบินตรง จากฮ่องกง และสิงคโปร์ ซึ่งมีบริการทุกวัน
นอกจากนี้ยังต้องจับตามองการเคลื่อนทัพของทุนใหม่ จากบังกลาเทศ ปากีสถาน และอินเดีย ซึ่งเริ่มเข้ามาหาข้อมูลประกอบการตัดสินใจ โดยกลุ่มทุนใหม่นี้ ให้ความสนใจอสังหาฯระดับบนทุกประเภท ในรูปแบบการลงทุนผ่านพร็อพเพอร์ตี้ฟันด์ กองละไม่น้อยกว่า 2,000 ล้านบาท
ตลาดการลงทุนเพื่อเช่าคึกคัก
นางสาวริษิณี สาริกบุตร ผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายวิจัยและพัฒนา คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย กล่าวว่า ชาวต่างชาติที่เข้ามาซื้อที่พักบนเกาะภูเก็ต เพื่อการอยู่อาศัยประจำมีเพียง 35% ขณะที่อีก 65% ซื้อบ้านเพื่อพักในช่วงท่องเที่ยว โดยนักท่องเที่ยวที่เข้าพำนักระยะยาว (มากกว่า 90 วัน) ในภูเก็ต มีชาวอังกฤษ 2,692 ราย รองลงมาคือ สแกนดิเนเวีย 2,194 ราย และเยอรมัน 1,186 ราย
การซื้อบ้านพักตากอากาศ หรือคอนโดมิเนียมเหล่านี้ เน้นเพื่อลงทุนเป็นวัตถุประสงค์หลัก โดยคาดหวังผลตอบแทนที่ดี จากการเพิ่มค่าของสินทรัพย์ และรายได้จากการปล่อยเช่า รูปแบบการซื้อที่พักของชาวต่างชาติ บนเกาะภูเก็ต ส่วนใหญ่เป็นการเช่าระยะยาว 30 ปี อย่างไรก็ดี การซื้อขายที่ได้กรรมสิทธิ์ถาวรก็มีไม่น้อย ในโครงการประเภทคอนโดมิเนียม
ที่สำคัญมีหลายโครงการที่พัฒนาและนำออกขาย โดยใช้ระบบเชนโรงแรมเข้ามาบริหาร เพื่อให้ได้มูลค่าเพิ่ม เช่น โครงการจูเมร่า เกาะแรด ราคา 120-400 ล้านบาท/ยูนิต, โครงการแชงกรีล่า หาดบางเทา ราคา 38.5 – 59 ล้านบาท/ยูนิต, โครงการ ตรีสรา เฟส C หาดในทอน ราคา 95 – 247 ล้านบาท/ยูนิต, ดุสิตลากูน่า หาดบางเทา ราคา 36-38 ล้านบาท/ยูนิต, โครงการ บันยันทรี หาดบางเทา ราคา 95-152 ล้านบาท และ โมเวิร์นพิค หาดกะรน ราคา 14-17 ล้านบาท
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์