เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ตั้งแต่ในช่วงปี 2563 ที่ผ่านมา ที่มาการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 นั้น หลาย ๆ ภาคส่วน ทั้งรัฐบาล เอกชน รวมไปถึงประชาชนทั่วไปเองก็ได้รับผลกระทบต่าง ๆ มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีการล็อคดาวน์ ทำให้ธุรกิจหรือร้านค้าต่าง ๆ มีการปิดตัวลง ส่งผลให้ต้องมีการเลิกจากพนักงาน จนมีปัญหาบานปลายไปถึงภาคใหญ่อย่างเศรษฐกิจในประเทศที่มีการชะลอตัวอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปี 2564 นี้ ซึ่งธุรกิจประเภทอสังหาก็ถือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่หนีไม่พ้นปัจจัยลบดังกล่าว โดย พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ได้ออกมาเปิดเผยว่า ข่าวบ้านยังคงมีความน่าเป็นห่วง จากผลสำรวจอสังหาฯปี 2564 นั้น ธุรกิจประเภทนี้ยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน ทั้งอัตราว่างงานพุ่ง แบงก์เข้มงวดการปล่อยสินเชื่อกระทบกำลังซื้อผู้บริโภค ขณะที่ด้านผู้ประกอบการเองก็มีการเร่งระบายสต็อก เปิดโครงการใหม่ โดยเน้นราคาเข้าถึงง่ายในทำเลเดินทางสะดวก
นางสาวสุวรรณี มหณรงค์ชัย รองกรรมการผู้จัดการสายงานพัฒนากลยุทธ์และบริหารสินทรัพย์ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กล่าวว่า จากการสำรวจข่าวบ้าน พบว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2564 ยังคงต้องเผชิญหน้ากับปัญหาในรอบ ๆ ด้าน โดยเฉพาะปัจจัยทางลบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ อัตราการว่างงานที่เพิ่มสูงขึ้นจากสถานการณ์โควิด-19 และสภาพเศรษฐกิจ และยังมีเรื่องของการที่สถาบันการเงินและธนาคารพาณิชย์มีการควบคุมและจำกัดการพิจารณาปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นสิ่งที่ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค
อย่างไรก็ตามสำหรับข่าวอสังหาวันนี้ ยังมีปัจจัยบวกที่ช่วยพยุงกำลังซื้อให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังเดินต่อไปได้ นั่นก็คือเรื่องของมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนองสำหรับที่อยู่อาศัยที่ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทจากทางภาครัฐ และนอกจากนี้ยังมีการปรับลดการจัดเก็บภาษีที่ดินอีก 90% ซึ่งคาดว่าจะเข้าช่วยในเรื่องการตัดสินใจของผู้ที่ต้องซื้อบ้านเป็นอย่างมาก
ทั้งนี้ในส่วนของข่าวบ้านเดี่ยวในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2563 ที่ผ่านมานั้นผู้พัฒนาโครงการมีการนำสินค้าออกมาเสนอขายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยความต้องการพื้นที่ในการทำงาน หรือ Work From Home ของผู้บริโภค นอกจากนี้จะยังเห็นได้ว่าบ้านเดี่ยวในราคา 5-7 ล้านบาทนั้นเป็นที่ต้องการในท้องตลาดมากยิ่งขึ้น และระดับราคาบ้านเดี่ยวที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดในท้องตลาดอยู่ที่ระดับ 10-20 ล้านบาท ซึ่งมีความต้องการเพิ่มมากขึ้นถึง 53% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันที่ผ่านมา โดยสำหรับโซนที่มีการเติบโตและมีความน่าสนใจนั้น พบว่าอยู่ที่โซนตะวันตกในบริเวณปากเกร็ด โซนตะวันออกเฉียงเหนือในบริเวณคลองสามวา และโซนตะวันออกบริเวณบางพลีและบางบ่อ ซึ่งเป็นผลจากการขยายตัวของรถไฟฟ้าและแหล่งงานในบริเวณดังกล่าว
ส่วนของตลาดทาวน์โฮม จากการสำรวจพบว่าผู้พัฒนาโครงการมีการเสนอขายโครงการต่างเพิ่มขึ้น 4% เมื่อเทียบจากในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2563 ที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังพบอีกด้วยว่าผู้ซื้อเองก็มีความต้องการเพิ่มมากขึ้นเป็น 14% ทั้งนี้ช่วงราคาทาวน์โฮมที่ได้รับความสนใจและมีความต้องการมากที่สุดอยู่ในระดับราคา 5-7 ล้านบาท โดยทำเลที่ได้รับความสนใจจะอยู่บริเวณถนนราชพฤกษ์ ช่วงตลิ่งชัน-ทวีวัฒนา ลำดับต่อมาเป็นระดับราคา 3-5 ล้านบาท และพบว่ากลุ่มผู้ซื้อให้ความสนใจเพิ่มขึ้นเพราะที่ตั้งของโครงการมักอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองมากนัก เช่น พัฒนาการ, รามคำแหง, กัลปพฤกษ์ หรือรามอินทรา
สำหรับตลาดคอนโดมิเนียมในช่วงครึ่งปีหลัง 2563 ถือเป็นข่าวบ้านที่ที่ได้รับปัจจัยลบมากที่สุด โดยความต้องการซื้อของผู้บริโภคเพิ่มขึ้นเพียง 1% เท่านั้น ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าผู้ประกอบการยังคงมีการชะลอการเปิดโครงการใหม่ เนื่องจากพยายามขายยูนิตสร้างเสร็จคงค้างที่ยังไม่สามารถขายได้ให้หมดเสียก่อน จึงทำให้ราคาคอนโดมิเนียมทั้งหมดในตลาดลดลง โดยผู้ซื้อเองก็หันมานิยมที่อยู่อาศัยย่านชานเมืองมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น พื้นที่รามคำแหง, พระราม 2, เกษตร-งามวงศ์วาน, แจ้งวัฒนะ-ดอนเมือง-คูคต และพื้นที่จรัญสนิทวงศ์ฝั่งถนนธนบุรี เนื่องจากมีความชัดเจนเกี่ยวกับการพัฒนาโครงการรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ จึงทำให้ผู้ซื้อมั่นใจในการเลือกที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมในทำเลนั้น ๆ มากยิ่งขึ้น
“ปี 2564 ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์มีการปรับตัวรับมือกับสถานการณ์ได้ดียิ่งขึ้น คาดว่าการเปิดตัวโครงการใหม่จะมีมากขึ้นแต่ยังคงเน้นระบายสต็อกคงค้าง” นางสาวสุวรรณีกล่าวเพิ่มเติม
อย่างไรก็ตามสำหรับข่าวอสังหาวันนี้ ยังมีปัจจัยที่ยังคงต้องเฝ้าติดตามและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ได้แก่เรื่องโควิด-19 ทั้งด้านการควบคุมการแพร่ระบาดและด้านการกระจายวัคซีนในประเทศไทย ปัจจัยด้านค่าเงินบาทที่แข็งค่า ปัจจัยด้านภาคการท่องเที่ยว รวมไปถึงปัจจัยด้านหนี้ครัวเรือน ที่มีผลกระทบอย่างมากต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค และยังทำให้ผู้บริโภคมีการตัดสินใจที่ช้าลงเนื่องจากต้องการถือเงินสดไว้สำหรับสำรองจ่ายเงินยามฉุกเฉิน มากกว่าที่จะต้องการสร้างหนี้ใหม่ให้กับตนเอง ดังนั้นแล้วผู้ประกอบการจึงควรต้องระมัดระวังในการเปิดตัวโครงการใหม่และพร้อมปรับตัวอยู่เสมอ เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าสมัยใหม่ได้อย่างแท้จริง
ในส่วนของสัญญาณบวกของข่าวบ้านนั้นยังคงต้องรอคอยข่าวเกี่ยวกับการรับวัคซีนป้องกันโควิด 19 จากต่างประเทศที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งคาดว่าจะเข้ามาช่วยส่งเสริมปัจจัยด้านการท่องเที่ยวให้กลับมาเติมโตและทำให้ภาคอสังหาฯ ได้รับอานิสงค์ไปด้วยเช่นกัน
อ้างอิง
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/924842