วันนี้เรามีข้อมูล ราคาเฉลี่ยคอนโดมิเนียม “ทาวน์เฮาส์-บ้านเดี่ยว” แนวรถไฟฟ้า มาฝาก โดย เป็นผลสำรวจบิ๊กดาต้าโครงการแนวราบและแนวสูงในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล รวม 7 จังหวัดเมื่อ 31 พฤษภาคมที่ผ่านมา ที่ทางREIC (ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์) นำมาเปิดเผย
จับตาราคา อสังหา แนวรถไฟฟ้า ทำเลไหนมาแรง
ไฮไลต์อยู่ที่การเปิดราคาเฉลี่ยคอนโดมิเนียมในรัศมี 500 เมตรจากสถานีรถไฟฟ้าหลากสีหลายเส้นทาง รวมทั้งสถิติอัตราดูดซับ (absorbtion rate) รายทำเล สำหรับประกอบการพิจารณาว่าทำเลใดบ้างที่ส่งสัญญาณซัพพลายไม่สมดุลดีมานด์ โดย“ดร.วิชัย วิรัตกพันธุ์”
รักษาการผู้อำนวยการ REIC ระบุว่า สถิติ ณ ครึ่งปีหลัง 2560 ภาพรวมมี 458,943 หน่วย มูลค่ารวม 1,764,603 ล้านบาท จาก 1,584 โครงการ แบ่งเป็นบ้านจัดสรร 212,997 หน่วย (เพิ่มจากครึ่งปีแรก 2560 ที่มี 208,237 หน่วย) และอาคารชุด 245,946 หน่วย (เพิ่มจากครึ่งปีแรก 2560 ที่มี 242,852 หน่วย)
โดยมีโครงการเปิดใหม่ในปี 2560 รวม 396 โครงการ 101,422 หน่วย มูลค่าโครงการรวม 408,084 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านจัดสรร 272 โครงการ 40,841 หน่วย มูลค่ารวม 166,044 ล้านบาท และอาคารชุด 124 โครงการ 60,581 หน่วย มูลค่ารวม 242,040 ล้านบาท
สถานะโครงการอยู่ระหว่างขายครึ่งปีหลัง 2560 พบว่า เป็นบ้านจัดสรร 1,135 โครงการ เหลือขาย 80,449 หน่วยจากภาพรวม 212,997 หน่วย และอาคารชุด 449 โครงการ เหลือขาย 62,411 หน่วยจากภาพรวม 245,946 หน่วย ในจำนวนนี้สามารถปิดการขาย (ขายหมด 100%) ในปีที่แล้วจำนวน 15 โครงการ 1,593 หน่วย
จัดลำดับท็อป 20 หน่วย
REIC จัดลำดับท็อป 20 หน่วยขายได้โดยมี 3 ทำเลไร้โครงการแนวราบ ได้แก่ ได้แก่ บางซื่อ คลองเตย วัฒนา กับทำเลที่ไร้โครงการแนวสูงหรือคอนโดมิเนียม 1 ทำเล ได้แก่ คลองสามวา โฟกัสจากสัดส่วนเปอร์เซ็นต์หน่วยขายได้ มีดังนี้
อันดับ 1 ทำเลบางซื่อ เป็นอาคารชุดทั้งหมด 13,386 หน่วย สัดส่วนขายได้ 89.6%,
อันดับ 2 ทำเลลาดกระบัง หน่วยรวม 6,827 หน่วย ขายได้ 86.7%
อันดับ 3 สวนหลวง 6,421 หน่วย ขายได้ 85.3%,
อันดับ 4 บางนา 7,287 หน่วย ขายได้ 84.4%,
อันดับ 5 คลองสามวา เป็นบ้านจัดสรรทั้งหมด 7,503 หน่วย ขายได้ 80.4%,
อันดับ 6 สายไหม 6,904 หน่วย ขายได้ 79.6%
อันดับ 7 คลองเตย เป็นห้องชุดทั้งหมด 8,782 หน่วย ขายได้ 79.1%,
อันดับ 8 วัฒนา เป็นห้องชุดทั้งหมด 7,765 หน่วย ขายได้ 75.1%,
อันดับ 9 บางใหญ่ 9,047 หน่วย ขายได้ 72.2%,
อันดับ 10 บางแค 6,806 หน่วย ขายได้ 71.6%
อันดับ 11 จตุจักร 8,051 หน่วย ขายได้ 69.5%,
อันดับ 12 บางกรวย 7,335 หน่วย ขายได้ 66.8%,
อันดับ 13 เมืองสมุทรปราการ 17,368 หน่วย ขายได้ 65.9%,
อันดับ 14 เมืองนนทบุรี 18,669 หน่วย ขายได้ 63.7%,
อันดับ 15 ลำลูกกา 8,344 หน่วย ขายได้ 62.1%
อันดับ 16 เมืองสมุทรสาคร 7,901 หน่วย ขายได้ 61.8%,
อันดับ 17 บางพลี 8,930 หน่วย ขายได้ 61.1%,
อันดับ 18 บางบัวทอง 9,688 หน่วย ขายได้ 60.2%,
อันดับ 19 ธัญบุรี 12,695 หน่วย ขายได้ 58.8%
อันดับ 20 โซนคลองหลวง 7,566 หน่วย ขายได้ 55.2%
แนวโน้ม “ซัพพลายเหลือขาย” เขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑลในปี 2561
REIC ได้จัดทำแนวโน้ม “ซัพพลายเหลือขาย” เขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑลในปี 2561 โดยประเมินว่ามีจำนวน 145,099 หน่วย แบ่งเป็นแนวราบสัดส่วน 55.5% จำนวน 80,490 หน่วย, อาคารชุดสัดส่วน 45.5% จำนวน 64,609 หน่วย
โดยประเภทสินค้าที่มีสัดส่วนมากสุดคือ อาคารชุด 44.5% รองลงมา ทาวน์เฮาส์ 32.4% บ้านเดี่ยว 16.0% ที่เหลือเป็นสินค้าบ้านแฝดกับอาคารพาณิชย์สัดส่วนรวมกัน 7.1%
จุดโฟกัสอยู่ที่ข้อมูล “ภาวะการระบายซัพพลาย” โดยวิเคราะห์จากสถิติค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี พบว่า ในภาพรวม ภาวะการระบายซัพพลายหรือภาวะการขายได้ทั้งตลาดแนวสูงและแนวราบเฉลี่ยอยู่ที่ 17 เดือน โดยมีภาวะการระบายซัพพลายเจาะลึกเฉพาะปี 2560 พบว่า มีภาวะการระบายซัพพลายของครึ่งปีแรก-ครึ่งปีหลัง เท่ากับ 4.6%-4.6%
แยกย่อยลงไป กรณีตลาดแนวราบ (บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮาส์ อาคารพาณิชย์) ใช้เวลาระบายเฉลี่ย 22 เดือน โดยมีภาวะการระบายซัพพลายของครึ่งปีแรก-ครึ่งปีหลัง เท่ากับ 4.2%-3.5%
และตลาดคอนโดฯ ใช้เวลาระบายเฉลี่ย 12 เดือน โดยมีภาวะการระบายซัพพลายของครึ่งปีแรก-ครึ่งปีหลัง เท่ากับ 5.0%-5.8%
ทั้งนี้ เปรียบเทียบภาวะการระบายซัพพลายช่วงครึ่งปีหลัง 2560 พบว่ามีทิศทางลดลงจากช่วงครึ่งปีแรก 2560 ดังนี้ สถิติการขายคอนโดฯ ครึ่งปีแรก 5.6% ลดเหลือ 5.3% ในครึ่งปีหลัง
บ้านเดี่ยว จาก 3.2% ลดเหลือ 3.1%, บ้านแฝด จาก 3.7% ลดเหลือ 3.6%, ทาวน์เฮาส์ จาก 4.1% ลดเหลือ 4.0% และอาคารพาณิชย์จาก 3.9% ลดเหลือ 3.8% ส่งผลให้ตลาดรวมครึ่งปีแรกจาก 4.7% ลดเหลือ 4.5% ในครึ่งปีหลัง 2560
อ้างอิง prachachat.net และ REIC