จากกระแสผลกระทบโควิด-19 ทำให้ได้ยินข่าวผู้ประกอบการอสังหริมทรัพย์าเริ่มเร่งปรับตัวเพื่อตั้งรับให้เท่าทันกับสถานการ์ โดยผู้ประกอบการอสังหา ต้องชะลอตัวการเปิดตัวโครงการใหม่ โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียม ซึ่งอยู่ในภาวะถดถอยในช่วงปีนี้ ซึ่งถึงแม้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ชะงักไปกว่า2 เดือน แต่สถานการณ์ดูเหมือนจะยังไม่มีความคลี่คลาย เนื่องจากกำลังซื้อทั้งภายในประเทศและภายนอกประเทศยังไม่กลับมา ช่วงเวลาแบบนี้เราจึงได้เห็นข่าวผู้ประกอบการหน้าสู่ทางรอดจากวิกฤต ด้วยการปรับธุรกิจให้เข้าสู่ New S Curve โดยการสร้างแหล่งรายได้ใหม่นั่นเอง
ข่าวผู้ประกอบการงให้เข้าสู่ New S Curve จากการสร้างแหล่งรายได้ใหม่นั่นเอง
วันจักร บุรณศิริ ประธานผู้บริหารสายการเงินและสนับสนุนธุรกิจ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าการเข้ามาของวิด-19 ส่งผลให้ภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์มีความเปลี่ยนแปลงอย่างมาก ไม่ว่าจะพฤติกรรมการใช้ชีวิตและการทำงานของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป เช่น การเพิ่มขึ้นของการทำงานจากที่บ้าน (Work form home) ทำให้ความต้องการที่อยู่อาศัยที่ใกล้ที่ทำงานนั้นมีความสำคัญลดลง ด้วยปัจจัยเหล่านี้เอง ทำให้แสนสิริจำเป็นต้องปรับแผนเพื่อให้เข้ากับถสานการณ์ รวมไปถึงการปรับกลยุทธ์การตลาดใหม่ เพื่อพร้อมตั้งรับกับวิถีชีวิตใหม่ (New normal)
ข่าวผู้ประกอบการในการปรับตัวเข้าสู่ New S Curve โดยการสร้างแหล่งรายได้ใหม่ จากผู้ประกอบการอสังหาอย่างแสนสิริ คือเริ่มตั้งแต่การตั้งรับปรับตัวในระยะสั้น โดยมีหลายส่วนทีเริ่มดำเนินการได้สักระยะหนึ่งแล้ว ตามที่ได้ทราบมาข่าวผู้ประกอบการว่า ผู้ประกอบการอสังหาอย่างแสนสิริ ได้มีระบบบริการแบบออนไลน์ ระบบบริการที่ลดการสัมผัส เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า รวมไปถึงแคมเปญการตลาดต่างๆ ที่ประกอบการอสังหาจะสามารถสร้างความสนใจและดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาพิจารณาโครงการ กระบวนการระยะสั้นทั้งหมดนี้ ส่งผลให้ยอดขายของบริษัทเติบโต อีกทั้งยังเป็นการปรับตัวเพื่อให้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์โลกและผู้บริโภคด้วย
สำหรับข่าวผู้ประกอบการในการสร้างรายได้ใหม่จาก New S Curve หรือจุดขึ้นของธุรกิจจากแสนสิริ คือการลงทุนใน สิริเวนเจอร์ ก่อนหน้านี้ และยังมีแผนที่จะนำระบบรักษาความปลอดภัยบริเวณพื้นส่วนกลาง ซึ่งเป็นมาตรฐานความปลอดภัยของแสนสิริ ภายใต้ชื่อ LIV-24 ที่สามารถสอดส่องดูแลลูกบ้านและควบคุมสถานการณ์ภายในโครงการแบบเรียลไทม์ โดยจากข่าวผู้ประกอบการ แสนสิริจะนำระบบนี้ขยายการให้บริการเข้าสู่โครงการภายใต้พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ที่บริหารโครงการของแสนสิริทั่วประเทศ พร้อมทั้งมีแผนในการต่อยอดและขยายขอบเขตการให้บริการของ Home Service Application ภายใต้ชื่อแอพพลิเคชั่น ‘YUU’ ซึ่งประสบความสำเร็จมาจากการมอบประสบการณ์ในการให้บริการที่ดีแก่ลูกบ้านภายในโครงการของแสนสิริมาแล้วกว่า 40,000 ราย ภายใน 300 โครงการ
นอกจากนั้น ระบบรักษาความปลอดภัยจากแสนสิริ จะให้ความสำคัญกับระบบลดการสัมผัสมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าปัจจุบันสัดส่วนของรายได้ที่มาจากบริการนี้อาจยังไม่มาก ถ้าเทียบกับรายได่จากการขายที่อยู่อาศัยของโครงการ แต่ก็นับว่าเป็นรายได้ที่มีอนาคตและสามารถคาดหวังผลตอบแทนและมาร์จิ้นที่มั่นคง สร้างรายได้ต่อเนื่องและรายได้ประจำ เพราะมาจากโครงการที่อยู่อาศัยที่แสนสิริและพลัส พร็อพเพอร์ตี้ดูแลอยู่ โดยในอนาคตยังมองถึงโอกาสที่จะทำรายได้ในรูปแบบของการ Subscribe อีกด้วย
สำหรับการดำเนินการสร้างรายได้ใหม่ของแสนสิริในระยะกลางและระยะยาว คือการจับตามองความเปลี่ยนแปลงมที่เกิดขึ้นอย่างตลอดเวลา โดยเริ่มจากพฤติกรรม ความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนไป โดยแสนสิริมีหน้าที่ในการหาสินค้าและบริการที่สามารถสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปให้เร็วและทันเวลา โดยที่ผ่านมา แสนสิริได้มีการปรับตัวและ Disrupt ตัวเองมาตลอดในยุคดิจิตอล ซึ่งทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อให้บริการลูกบ้านและลูกค้าของแสนสิริ รวมไปถึงนวัตกรรมในการเพิ่มรายได้ให้กับบริษัทอีกด้วย
สำหรับการเปลี่ยนแปลงในยุค Post-Covid ที่เข้ามาซ้อนทับกับยุค Digital Disruption ไม่เพียงแต่ความต้องการ พฤติกรรม และมุมมองการใช้ชีวิตของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปเท่านั้น แต่เหล่าบริษัทพัฒนาอสังหาต่างก็ต้องเร่งมองไปข้างหน้า เพราะนอกจากที่จะต้องเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคแล้ว ยังต้องสามารถมอบการให้บริการที่เหนือความคาดหมายให้กับลูกค้าได้ด้วย โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ความมั่นใจของผู้บริโภคมีความถดถอย กำลังซื้อทั้งภายในและภายนอกประเทศมีความชะลอตัวลง ดังนั้นการปรับตัวจึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับมุกคนไม่เพียงแต่ผู้บริโภคเท่านั้น
ที่มา:
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/884143