สวัสดีค่ะสมัยนี้การจะเก็บเงินล้านให้ได้ก่อนอายุ 30 ปี เป็นเป้าหมายที่หลาย ๆ คน โดยเฉพาะกับมนุษย์เงินเดือนที่มีรายไม่ได้เยอะมากและยังมี รายจ่ายที่ทยอยออกไปไม่น้อยหน้ากันสักเท่าไร ดังเช่นคุณ impromptuwitz สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่ก็ตั้งเป้าหมายในชีวิตไว้อย่างนี้เช่นกัน ทว่าทั้งที่เขาก็มีรายจ่ายอยู่หลายรายการ แต่เขาก็ยังสามารถเงินเก็บเป็นล้านก่อนอายุ 30 ปีจนได้ เพราะอะไรเขาจึงสามารถที่จะเก็บเงิน จนมีเงินเก็บครบ 1 ล้านบาทด้วยวัยเพียง 28 ปี เรามาดู วิธีออมเงิน กันค่ะว่าเขาคนนี้ทำได้ยังไงไปดูกันเลยค่ะ
แบ่งปันชีวิตมนุษย์เงินเดือน : เงินเก็บครบ 1 ล้านบาท ได้เมื่ออายุ 28 ปี (สาระ) โดยคุณ impromptuwitz สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
สวัสดีครับ นี่คือ Log-in ของผมเอง ไม่ได้ยืมใครมาทั้งสิ้น (แต่เคยมีคนยืม Log-in ผมไปใช้นะ)
ผมเองมีความตั้งใจตั้งแต่เรียนจบแล้วว่าจะต้องมีเงินเก็บครบ 1 ล้านบาทให้ได้ก่อนอายุ 30 ปี ซึ่งผมก็เพิ่งทำได้ครับ
ผมไม่ได้อยากจะอวดหรืออะไร แต่เพียงอยากจะแบ่งปันและเป็นกำลังใจให้ผู้ที่มีเป้าหมายเดียวกันครับ
Background ของผมคือมนุษย์เงินเดือนธรรมดาคนหนึ่งครับ ไม่ใช่แพทย์ ไม่ใช่ทันตแพทย์ ไม่ใช่เภสัชกร หรือดีเทลยา ไม่ใช่อัยการ หรือผู้พิพากษา ไม่ใช่ผู้ตรวจสอบบัญชี หรือผู้จัดการกองทุน…ผมเป็นพนักงานกินเงินเดือนบริษัททั่ว ๆ ไป เหมือนกับคนส่วนใหญ่ครับ ยังไม่แต่งงาน
ในด้านครอบครัวก็มาจากครอบครัวธรรมดา พ่อเป็นลูกจ้างโรงงานบริษัทเอกชนจนเกษียณ แม่เป็นแม่บ้าน มีน้อง ๆ ให้เลี้ยงดู มรดกแต่เพียงสิ่งเดียวที่พ่อแม่มีให้ผมคือการศึกษาแค่เพียงเท่านั้น
ผมจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยของรัฐแห่งหนึ่ง และจบปริญญาโทที่เรียนแบบภาคนอกเวลาราชการ ที่คณะเดิม มหาวิทยาลัยเดิม โดยค่าเทอมปริญญาโทผมเป็นคนจ่ายเองจากเงินเดือนของผม ผมควรจะได้ล้านแรกเร็วกว่านี้ ติดที่ตรงนี้เองทำให้ผมเสียเวลาเก็บเงินไปมาก เพราะค่าเทอมนั้นมหาโหดจริง ๆ
ผมเรียนจบปริญญาตรีปี 2010 และเริ่มต้นชีวิตมนุษย์เงินเดือนเลยหลังเรียนจบ ไม่เคยทำกิจการของตัวเอง ไม่เคยค้าขายใด ๆ เกิดมาเพื่อเป็นลูกจ้างเขาเท่านั้น ย้ายงานรวมทั้งหมดสองครั้ง เพื่ออัพเงินเดือน ตอนเรียนโทก็เรียนไปด้วยทำงานไปด้วย เอาเงินเดือนมาจ่ายค่าเทอม
นี่คือพอร์ตสินทรัพย์ของผมที่สะสมได้ครบหนึ่งล้านบาทแรกครับ โดยที่พอร์ตนี้จะ ‘ไม่รวม’ สิ่งต่อไปนี้
– เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและเงินประกันสังคมที่นำส่งทุกเดือน
– เงินค่างวดคอนโดและรถ
– ทุนเรือนหุ้นสหกรณ์ออมทรัพย์ของมหาวิทยาลัยที่ผมจบมา 100,000 บาท ซึ่งเป็นจำนวนสูงสุดของสมาชิกสมทบจะสามารถซื้อได้ (เอาไว้เป็นเงินสำรองกรณีฉุกเฉินจริง ๆ )
– ค่าเบี้ยประกันสุขภาพ เพราะมันเป็นเบี้ยจ่ายทิ้ง ไม่มีมูลค่าเงินสดใด ๆ
ผมเปิดพอร์ตกับโบรกเกอร์เจ้าหนึ่งที่ไม่เก็บขั้นต่ำ เพราะขี้งก (ในตลาดมีไม่กี่เจ้า ลองไปค้นเองนะครับ) และบางเดือนผมก็ไม่ได้เทรดเยอะ…ผมลงทุนแบบ Value Averaging คือกันเงินเดือนไว้ส่วนหนึ่ง ประมาณ 20-30% ของเงินเดือนที่ได้ ฝากไว้กับพอร์ต หุ้น คอยจับจังหวะเข้าซื้อในแต่ละเดือนแบบมีเป้าหมายและแผนที่ชัดเจนในแต่ละเดือน โดยหุ้นที่ผมซื้อ มีเงื่อนไขดังนี้
– P/E น้อยกว่า 15
– BV น้อยกว่า 3
– ROE, ROA มากกว่า 10% ติดต่อกันอย่างน้อย 5 ปี
– Dividend Yield มากกว่า 5% ติดต่อกันอย่างน้อย 5 ปี
– Profit Margin มากกว่า 10% ติดต่อกันอย่างน้อย 5 ปี
– Current Ratio มากกว่า 1
– D/E Ratio น้อยกว่า 1
– ไม่ขาดทุน มีกำไรสะสม และมีเงินสดเหลือเฟือ
– เป็นบริษัทที่มีพื้นฐานดีและมีมูลค่าที่เหมาะสม
ซึ่งเงื่อนไขพวกนี้ผมคิดขึ้นมาเองตามความพอใจส่วนบุคคล ไม่อ้างอิงจากทฤษฎีหรือกูรูใด ๆ เอาแนวลูกทุ่ง ๆ แบบนี้แหละ เรื่องกราฟหรือเรื่องเทคนิคผมไม่สันทัดและไม่มีเวลาจ้องขนาดนั้น พอร์ตนี้ดอยมั่งไม่ดอยมั่งแล้วแต่ช่วง
แต่ปีที่แล้วตลาดขาลง ก็ทำให้ขาดทุนกันไป ยิ่งผมนี่เป็นเม่าพันธุ์แท้กลุ่มสุสาน ทำเอานอนไม่หลับไปหลายวันช่วงหลังประมูล 4G แต่ก็ยังมีกระแสเงินสดจากเงินปันผลมาปลอบใจบ้าง ก็ถือว่าถัว ๆ กันไป
พอร์ตนี้มูลค่า 300k นิด ๆ (มูลค่าต้นทุนนะ)
Asset กลุ่มที่สอง : เงินสดหรือรายการเทียบเท่าเงินสด (น้ำหนักร้อยละ 4.6)
ผมเป็นคนที่ไม่เชื่อในดอกเบี้ยเงินฝาก เพราะมันน้อยนิดและเสียโอกาสในการเอาเงินตรงนี้ไปทำให้งอกเงย และเงินสำรองผมมีแล้วในสหกรณ์ออมทรัพย์ สัดส่วนเงินตรงนี้เลยน้อยนิด เป็นเพียงแค่ส่วนที่ฝากประจำเท่านั้น ล่าสุดผมเพิ่งถอนเงินสดออกมาซื้อกรมธรรม์ประกันชีวิตเพิ่มอีกหนึ่งกรมธรรม์ ทำให้เงินสดเหลือสัดส่วนน้อยที่สุดในพอร์ตผม นั่นก็คือ 50k หน่อย ๆ
Asset กลุ่มที่สาม : ประกันชีวิต (น้ำหนักร้อยละ 30) …
พอพูดถึงผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต คนส่วนใหญ่จะไม่ชอบเพราะเงินจมนาน ผลตอบแทนไม่ดี ฯลฯ… แต่ผมโคตรชอบ
กรมธรรม์ประกันชีวิตถือเป็นทรัพย์สินอย่างหนึ่ง ซึ่งมีมูลค่าและยิ่งนานวันยิ่งมีมูลค่า สามารถนำไปค้ำประกันหรือสามารถกู้เงินได้ตามมูลค่าเงินสด และค่าเบี้ยประกันสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้
ผมสะสมกรมธรรม์ประกันชีวิตเพราะมันคือ “ความแน่นอน” เป็นจำนวนเงินที่เราจะได้ “แน่นอน” และถ้าเราตายคนข้างหลังเรา “ไม่ลำบากแน่นอน” และในพอร์ต ผมกว่า 60% เป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงที่สูงมาก ๆ อยู่แล้วเลยต้องการความแน่นอนมาช่วยถ่วงความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตไว้ โดยผมสะสมไว้ 3 กรมธรรม์ ดังนี้
– ออมทรัพย์ ส่งเบี้ยปีละ 30,000 บาท ส่งมาแล้ว 4 ปี
– Unit Linked ส่งเบี้ยปีละ 60,000 บาท
– บำนาญ เพิ่งถอยกรมธรรม์ใหม่มาสด ๆ ร้อน ๆ จ่ายเบี้ยไปแล้ว 150,000 บาท ได้มาแค่ใบเสร็จรับเงินชั่วคราวตอนนี้ 555+
ผมรู้สึกว่าบริษัทประกันชีวิตที่เป็นเจ้าตลาด ความคุ้มค่าของ product สู้เจ้าเล็ก ๆ ไม่ได้ แต่ก็หลวมตัวไปแล้วสองกรมธรรม์ ดังนั้นกรมธรรม์ตัวล่าสุดผมเลยไม่เลือกของเจ้าตลาดครับ
ค่าเบี้ยผมสะสมไว้ทุกเดือน เดือนละเท่า ๆ กัน พอสิ้นปีถึงเวลาจ่ายค่าเบี้ยก็เอาเงินสดที่เก็บไว้บวกกับโบนัสบางส่วนมาจ่าย อาศัยวินัยและอดเปรี้ยวไว้กินหวาน สัดส่วนสินทรัพย์ในส่วนนี้ประมาณ 300k
Asset กลุ่มที่สี่ : กองทุนรวม (น้ำหนักร้อยละ 30)
นอกจากกรมธรรม์ประกันชีวิตแล้ว ผมบ้ากองทุนมาก กระจายการลงทุนไปในกองทุนหลายรูปแบบ รู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่ส่งคำสั่งซื้อ โดยผมจะลงอัตราส่วนกองทุนที่เสี่ยง ๆ ไว้ 20-25% และลงในกองทุนตราสารหนี้ประมาณ 5-10%
ผมถือว่ากองทุนตราสารหนี้มีค่าเทียบเท่าเงินสด…เพราะถ้าช็อตจริง ๆ ก็ขายได้เพราะมัน T+2 เท่านั้น
LTF บางกอง ผมครบกำหนดไปแล้วก็ไม่ขายคืน ปีที่แล้วหุ้นตกหนักจากเขียว ๆ กลายเป็นแดงเดือดยกแผง ผมกลั้นใจซื้อสวนทุกเดือนเหมือนเดิมครับ
เนื่องจากผมเป็นสมาชิกหลาย บลจ. (บ้ากองทุน) ผมเลยใช้บริการเว็บ wealthmagik สำหรับจดรายการซื้อกองทุนของผม (ใช้เว็บแทน excel) ทำให้เห็นภาพรวมของการลงทุนผ่านกองทุนรวมได้ดีกว่ามากรอก excel เอง
การซื้อกองทุน ผมอาศัยการซื้อผ่านบัตรเครดิต (กรณี LTF-RMF) เพื่อควบคุมกระแสเงินสด ส่วนกองทุนอื่น ๆ ทำเรื่อง Auto Direct Debit รายเดือนไว้กับบัญชีเงินเดือน (พอเงินเดือนออกปุ๊บ โดนหักไปกองทุนก่อนเลย 555+) ปีที่แล้วเห็นพวกกองทุน Health Care กำลังบูม เลยบ้าไปซื้อตามเขา สุดท้ายตอนนี้เจ๊งตามระเบียบเม่าไทย แฮะ ๆ พอร์ตนี้มีมูลค่าประมาณ 320k (ต้นทุนนะ)
Asset กลุ่มสุดท้าย : ทองคำแท่ง (น้ำหนักร้อยละ 6)
มีเงินนับเป็นน้อง มีทองนับเป็นพี่…ผมอยากเป็นพี่ เลยสะสมทอง 555+
หลายคนบอกว่าเก็บทองไม่ดี เพราะมีดอกเบี้ย ไม่มีเงินปันผล ไม่มีสภาพคล่อง อันตราย เอาไปทำประโยชน์ใด ๆ ไม่ได้ แต่อย่าลืมว่าปีที่แล้วยามที่หุ้นแดงทุกวัน…มีทองคำแท่งนี่แหละครับที่ผมลูบคลำแล้วรู้สึกดีที่สุด แม้ว่าทองคำจะไม่มีดอกเบี้ยให้คุณได้ แต่มันก็ไม่เคยทรยศคุณ
ที่สำคัญ…ทองคำสามารถเอาไว้ขอสาวได้ด้วยครับ (ประเด็นเลยตรงนี้ 555+)
ผมสมัครแผน Gold Saving กับบริษัทขายทองแห่งหนึ่งใต้ตึกยูไนเต็ด ถนนสีลม (มีอยู่สองเจ้า ผมไม่บอกนะครับว่าเป็นลูกค้าเจ้าไหน) โดยให้หักเงินจากบัญชีไปทุกเดือนเพื่อไปเฉลี่ยซื้อทองทั้งเดือน ยามทองแพงก็จะได้หน่วยน้อย ยามทองถูกก็จะได้หน่วยมาก พอร์ตนี้มีมูลค่าประมาณ 70k
สุดท้าย…อยากจะเป็นกำลังใจให้กับคนมีเป้าหมายเดียวกันครับ ผมเองยังกระจอกอยู่มาก มีคนทำได้ก่อนผมมากมาย แต่โดยรวมแล้วผมพอใจในสิ่งที่ผมทำได้ในวันนี้
พฤติกรรมการใช้เงินของผมนั้นเรียบง่าย ผมชอบกินกาแฟดำไม่ใส่น้ำตาลและอาหารตามสั่งแถวที่ทำงาน โทรศัพท์ผมได้แถมมาจากซื้อคอนโด (แต่ Tablet นี่กัดฟันซื้อเพราะตอนเรียนโทมันต้องใช้) ชอบนั่งรถไฟฟ้า รถเมล์ และอูเบอร์ ถ้าต้องขนของถึงจะขับรถ สมัยเรียนเคยใช้เงินเท่าไร ปัจจุบันนี้ผมยังใช้เงินเท่าเดิม
รายได้ส่วนที่เข้ามาแต่ละเดือนหลังจากหักหนี้สิน (คอนโด รถ) และส่งให้พ่อแม่แล้ว ผมเอาเก็บก่อนเลย เหลือจากเก็บเท่าไรค่อยเอามาใช้ และเงินที่เหลือจากเก็บจากลงทุนแล้ว “ผมใช้เกลี้ยงทุกเดือน” เหมือนเป็นจิตวิทยาหลอกตัวเองว่าเราใช้เงินเป็นรางวัลชีวิตตัวเองจนไม่เหลือซากในแต่ละเดือน บ้านและรถผมก็พอมี (ถึงแม้ว่าจริง ๆ แล้วตอนนี้มันเป็นของไฟแนนซ์ก็เหอะ…แต่สักวันหนึ่งมันก็เป็นของผม) และผมมีความสุขตามสมควร
หวังว่ากระทู้ของผมนี้ จะเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลาย ๆ คน ไม่มากก็น้อยนะครับ :’)
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ impromptuwitz สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
สำหรับท่านใดที่สนใจอยากซื้อ ขายบ้าน คอนโด หรือ ทาวน์เฮ้าส์ มือ1 มือ 2 สามารถเข้าดูได้เลยที่ https://www.dotproperty.co.th/