แนวโน้มธุรกิจอสังหาฯ ปี 64 ลุ้นฟื้นตัวต่อ หลัง 2 บริษัทยา เผยผลทดลองวัคซีนต้านโควิดมีประสิทธิภาพ 95%

แน่นอนว่าวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 นั้น ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้แนวโน้มธุรกิจอสังหาฯ ปรับตัวดิ่งลงตั้งแต่ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลงจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ หรือตัวเลขของหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงได้ง่ายๆ โดยในระยะเวลา 10 ปีให้หลังมานี้ ประเทศไทยมีหนี้ครัวเรือนเพิ่มมากขึ้นถึง 25% ซึ่งเป็นสิ่งที่สะท้อนการลดลงของกำลังการซื้อของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี 

นอกจากนี้การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ก็ยังส่งผลกระทบในด้านลูกค้าต่างชาติที่ไม่สามารถเดินทางเข้ามายังประเทศไทย ทำให้ความต้องการซื้ออสังหาฯ ของชาวต่างชาติหายไปอีกด้วย ซึ่งปัจจัยทั้งหลายทั้งมวลเหล่านี้ก็ล้วนแล้วแต่ส่งผลกระทบต่อการเติบโตทั้งด้านยอดขายและยอดโอนบ้านของผู้พัฒนาทุกๆ ราย ไม่เว้นแม้แต่ผู้พัฒนารายใหญ่ๆ ในตลาด ซึ่งก็ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าวิกฤตเหล่านี้จะจบลงอย่างไรและจะหายไปได้เมื่อไหร่

จนกระทั่งเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ความหวังที่ว่าแนวโน้มธุรกิจอสังหาฯ จะเริ่มฟื้นตัวอย่างสวยงามก็กลับมาอีกครั้ง เมื่อ 2 บริษัทยายักษ์ใหญ่ อย่างบริษัทยาไฟเซอร์ อิงค์ ของสหรัฐฯ และไบโอเอ็นเท็คเยอรมนี ที่ได้ร่วมมือกันผลิตวัคซีน ได้ประกาศว่า วัคซีนที่ผลิตออกมามีประสิทธิภาพในการต้านเชื้อไวรัสโควิด 19 สูงถึง 90% ซึ่งถือมีประสิทธิภาพที่ดีอย่างมากเมื่อเทียบกับการคาดการณ์ของนักวิทยาศาสตร์ที่คาดว่าประสิทธิภาพของโควิดวัคซีนนี้จะอยู่ที่ 60-70% เท่านั้น 

และเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน ทั้ง 2 บริษัทยายักษ์ใหญ่ ก็ยังคงมีข่าวดีออกมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยการประกาศว่าโควิด วัคซีนที่ได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลไปในขั้นสุดท้ายนั้น มีประสิทธิภาพในการป้องกันโควิดได้ถึง 95% และนอกจากนี้ยังพบว่าความแตกต่างของกลุ่มผู้ทดลอง ไม่ว่าจะเป็น เชื้อชาติ ชาติพันธุ์หรือแม้แต่วัย ก็มีผลข้างเคียงต่อประสิทธิภาพในการป้องกันโควิด 19 ค่อนข้างต่ำมาก โดยทางบริษัทไฟเซอร์ อิงค์ได้เตรียมที่จะทำการยื่นขออนุมัติการใช้วัคซีนต่อสำนักงานอาหารและยาสหรัฐ เพื่อผลิตโควิดวัคซีนให้ทันภายในปีนี้เป็นจำนวน 50 ล้านโคส และภายในปีหน้าอีก 1,300 ล้านโดส

02_แนวโน้มธุรกิจ (2)และนอกจากนี้บริษัท โมเดอร์นา (Moderna) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตวัคซีนอีกหนึ่งแห่งก็ได้ออกมาประกาศว่า วัคซีนของตนเองนั้นก็มีประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อโควิด 19 ได้ถึง 94.5% เช่นกัน นอกจากนี้วัคซีนที่ผลิตออกมายังเป็นวัคซีนที่สามารถจัดเก็บได้ง่าย ไม่จำเป็นต้องเก็บไว้ในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิเย็นเป็นพิเศษ นอกจากนี้ยังมีระยะเวลาในการเก็บรักษาที่ยาวนานอีกด้วย 

ซึ่งการที่ทั้ง 2 บริษัทผู้ผลิตวัคซีนได้ออกมาประกาศข่าวดีให้ทุกคนทั่วโลกได้รับทราบในครั้งนี้ ถือเป็นการยืนยันอย่างหนึ่งว่าทั้งแนวโน้มธุรกิจโลกและแนวโน้มธุรกิจในประเทศไทยจะเริ่มปรับตัวได้ดีขึ้น เนื่องจากไม่ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 อีกต่อไป โดยเฉพาะในส่วนของแนวโน้มธุรกิจอสังหาฯ ในประเทศไทยที่เริ่มจะส่งสัญญาณกลับมาลืมตาอ้าปากได้อย่างเต็มตัวอีกครั้ง โดยแนวโน้มธุรกิจอสังหาฯ ที่เริ่มมีทิศทางที่ปรับตัวดีขึ้นนั้นจะเริ่มต้นตั้งแต่ในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมาที่พบว่ายอดโอนกรรมสิทธิ์ทั่วประเทศเริ่มมีการปรับตัวบวกขึ้นถึง 11.1% หรือประมาณ 101,704 ยูนิต โดยแบ่งเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 53,936 ยูนิต หรือเติบโต 10.9% และการโอนกรรมสิทธิ์ในต่างจังหวัดอีก 47,768 ยูนิต หรือเติบโต 13.1%

ส่วนแนวโน้มธุรกิจอสังหาในปี 2564 ก็ยังคาดว่าจะมีทิศทางที่ปรับตัวที่ขึ้นเรื่อยๆ โดยคาดว่าปัจจัยสำคัญน่าจะมาจากเรื่องของการผลิตวัคซีนได้เป็นหลัก ซึ่งถือเป็นปัจจัยบวกอย่างมากต่อธุรกิจอสังหาฯ เพราะการผลิตวัคซีนได้ก็หมายความว่า ประเทศจะสามารถเปิดรับชาวต่างชาติได้อีกครั้ง รวมไปถึงเรื่องการท่องเที่ยว ห้างร้านหรือธุรกิจต่างๆ ก็จะสามารถเปิดดำเนินการได้อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจภายในประเทศสามารถขยับขยายได้มากขึ้น ซึ่งหมายความว่าผู้บริโภคก็จะมีความสามารถในการซื้อมากขึ้นนั่นเอง ดังนั้นสำหรับธุรกิจอสังหาฯ แล้ว การได้มาซึ่งวัคซีนที่ได้ผลจึงเปรียบเสมือนกุญแจดอกสำคัญที่จะพาธุรกิจอสังหาฯ กลับมาฟื้นคืนได้อีกครั้งนั่นเอง

อ้างอิง
https://www.infoquest.co.th/2020/48890
https://brandinside.asia/moderna-experimental-vaccine-94-5-percent-prevent-covid-19/
https://www.reic.or.th/News/RealEstate/440915
https://www.reic.or.th/News/RealEstate/452867
https://www.smartsme.co.th/content/242174