นายอภิชาต จูตระกูล ประธานอำนวยการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI ได้เปิดเผยว่า ภายหลังที่บริษัทได้ทำการปรับนโยบายการลงทุนใหม่ โดยจะต้องผ่านการอนุมัติการจัดทำรายการวิเคราะห์ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หรือ EIA ก่อน ถึงจะทำการเปิดขายโครงการ เพื่อที่จะสามารถป้องกันปัญหาต่าง ๆ โดยเฉพาะหลังจากที่ขายโครงการไปแล้ว อาจจะไม่สามารถก่อสร้างได้ทันตามกำหนด ซึ่งอาจจะทำให้ต้องคืนเงินลูกค้า หรือเสียค่าปรับตลอดจนกระทั่งเกิดผลกระทบอื่น ๆ ตามมา ซึ่งที่ผ่านมา บริษัทได้ประสบปัญหาการพิจารณา EIA ล่าช้ามาโดยตลอด
ด้วยเหตุนี้ สำหรับไตรมาสที่ 4 บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI จึงมีโครงการที่ต้องเปิดการขาย ตามแผนการลงทุนในปีนี้อีก 13 โครงการ ซึ่งมีมูลค่ามากกว่า 23,500 ล้านบาท แล่งเป็นบ้านเดี่ยว 4 โครงการ ทาวน์เฮาส์ 1 โครงการ และคอนโดมิเนียมอีก 8 โครงการด้วยกัน และสำหรับในจำนวนนี้มีคอนโดมิเนียมที่ผ่าน EIA แล้วถึง 2 โครงการ จากแผนเปิดขายทั้งปี 19 โครงการ ซึ่งมีมูลค่า 33,000 ล้านบาท ซึ่งถ้าหากการอนุมัติ EIA ได้ทันเปิดขายในปีนี้ทั้ง 13 โครงการ เชื่อได้เลยว่า บริษัท แสนสิริ จะสามารถสร้างยอดขายได้ตามเป้าหมาย หรือมียอดขายใกล้เคียงเป้าหมายทั้งปีที่ได้วางเอาไว้ถึง 30,000 ล้านบาทเลยทีเดียว
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม แม้ว่าบริษัท แสนสิริ จะสามารถสร้างยอดขายได้ไม่ถึงตามเป้าหมาย แต่ในแง่ของการรับรู้รายได้แล้ว จะสามารถทำได้ตามเป้าหมายที่กำหนดเอาไว้ 33,000 ล้านบาท เพราะในช่วง 9 เดือนแรก รับรู้รายได้แล้วกว่า 20,000 ล้านบาท จากยอดขายรอโอนที่มีอยู่กว่า 50,000 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 20,000 ล้านบาท และในส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้รายได้ไปจนถึงปี 2559 นอกจากนี้ บริษัทยังคงมีรายได้จากโครงการโรงแรมที่เขาใหญ่ ที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการไปแล้วอีกด้วย