ล่าสุดนี้ นายนพพร เทพสิทธา ประธานสภาผู้ส่งออกสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย ได้ออกมาเปิดเผยว่า หลังจากที่สหภาพยุโรปหรือ อียู เริ่มตัดสิทธิจีเอสพีสินค้าไปแล้วตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2558 จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ในขณะนี้ผู้ประกอบการขนาดกลางไทยและขนาดใหญ่จำนวนมาก ได้มีการปรับแผนการส่งออกทั้งหมด ด้วยการวางแผนทยอยการซื้อที่ดินในประเทศเพื่อนบ้านอันใกล้เคียง ที่ได้รับสิทธิพิเศษอัตราภาษีศุลกากรหรือจีเอสพี ในตลาดต่าง ๆ เพื่อที่จะทำการสร้างโรงงานผลิตสินค้าส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ เช่นเดียวกันกับบริษัทชั้นนำของไทยส่วนใหญ่ อย่างเช่น กลุ่มเครือเจริญโภคภัณฑ์, เซ็นทรัล, เอสซีจี และ กลุ่มเจริญฯ เป็นต้น ที่ตอนนี้ได้มีการเพิ่มและเร่งค้นหาซื้อที่ดิน ทำเลทองกันมากยิ่งขึ้น เนื่องจากการก่อตั้งโรงงานในพื้นที่ดินและทำเลทองที่มีโอกาส จะช่วยให้สินค้าไทยสามารถรักษาตลาดไว้ได้
ซึ่งการย้ายฐานการผลิตไปในพื้นที่หรือทำเลทองของประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อต้องการแรงงานขั้นต่ำให้เข้ามาทำงานภายในสถานประกอบการสร้างใหม่นั้น นับได้ว่าไม่ใช่ประเด็นหลักอีกต่อไปแล้ว แต่ประเด็นหลัก ๆ คือการอาศัยพื้นที่ดินและทำเลทองของประเทศเหล่านี้ เพื่อทำการส่งออกสินค้าไปยังตลาดต่าง ๆ ที่ให้สิทธิจีเอสพี รวมถึงสิทธิเอฟทีเอด้วย ซึ่งสองสิทธินี้เป็นโอกาสอันดีที่ประเทศเพื่อนบ้านไทยทำกับตลาดใหญ่ ๆ อยู่ เพราะการส่งออกจะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยมีต้นทุนไม่สูงเหมือนกับการส่งออกจากประเทศไทยโดยตรง
นอกจากนี้ นายวัลลภ วิตนากร รองประธานสภาผู้ส่งออกสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย ยังคงกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ขณะนี้ทราบมาว่าผู้ส่งออกไทยหลายรายที่ทำธุรกิจในยุโรปกับลูกค้ารายใหญ่ สามารถที่ส่งออกสินค้าได้ในราคาเท่าเดิม เนื่องจากลูกค้ายอมที่จะรับภาระภาษีที่เพิ่มขึ้นแต่ภาษีที่เพิ่มต้องไม่เกิน 1-3% หากเกินจากนี้แต่ไม่เกิน 5% ก็อาจใช้วิธีรับภาระที่เพิ่มขึ้นฝ่ายละครึ่งแทน