ผลการสำรวจกลยุทธ์การปรับตัวของผู้ประกอบการรับสร้างบ้าน 7 บริษัท ของประชาชาติธุรกิจ พบว่า มีกลุ่มลูกค้าสร้างบ้านหลังละ 1-40 ล้านบาท ได้แก่ กลุ่มบริษัทพีดีเฮ้าส์, ซีคอนโฮม, รอแยลเฮ้าส์, โฟร์พัฒนา, มาสเตอร์แปลน 101, โมเดอร์นกรุ๊ป และมีนบุรีรับสร้างบ้าน ซึ่งพบว่า แนวโน้มเศรษฐกิจครึ่งปีหลังยังไม่น่าไว้ใจ จึงต้องคิดกลยุทธ์แบบใหม่ๆเพื่อให้โดนใจลูกค้ามากขึ้น
นางสาวศุภิชชา ชัยพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัทซีคอนโฮม กล่าวถึงกลยุทธ์ครึ่งปีหลังของซีคอนโฮม ที่ให้ความสำคัญกับการจัดกิจกรรมการตลาดอย่างต่อเนื่อง อาทิ อัพเกรดวัสดุ โดยปรับขนาดกระเบื้องปูพื้นเป็น 60 ซม. แถมปั๊มน้ำ ฯลฯ ซึ่งสอดคล้องกับนายศักดิ์ดา โควิสุทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท รอแยลเฮ้าส์ จำกัด ที่จะปรับกลยุทธ์ครึ่งปีหลัง โดยเน้นลูกค้าสร้างบ้าน 10 ล้านบาทขึ้นไป ทดแทนลูกค้าตลาดกลาง-ล่างที่กำลังซื้อหดหาย โดยไฮไลท์ก็คือการนำเสนอแบบบ้านรุ่นใหม่ “สไตล์มินิคอนโดฯ” จุดเด่นสามารถใช้งานได้อเนกประสงค์ เช่น ทำเป็นโฮมออฟฟิศก็ได้ มีความสูง 4-5 ชั้น สามารถสร้างบนที่ดินเริ่มต้น 100 ตารางวาซึ่งตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าครอบครัวใหญ่ มีที่ดินในเมือง ราคาเริ่มต้น 20 ล้านบาท
ทางด้านนายปราโมทย์ ธีรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฟร์พัฒนา จำกัด กล่าวว่า จะมีมหกรรมรับสร้างบ้านหรือโฮมบิลเดอร์ เอ็กซ์โป 2015 ปลายเดือนสิงหาคมนี้ โดยโฟร์พัฒนาเตรียมจัดแคมเปญใหญ่ในงาน อาทิ ส่วนลดแบบบ้านใหม่ 10% สำหรับบริษัทเดอะ โมเดอร์นกรุ๊ป เรียลพรอพเพอทิ จำกัด นั้นมีกลยุทธ์ คือนำเสนอแบบบ้านสไตล์ซิตี้โฮมที่ดัดแปลงเป็นโฮมออฟฟิศได้ ความสูง 3-4 ชั้น บนที่ดินเริ่มต้น100-200 ตร.ว. พื้นที่ใช้สอย 150-300 ตร.ม.ราคาเริ่มเพียง 5 ล้านบาท เจาะดีมานด์สร้างบ้านในเมือง บนแปลงที่ดินที่มีขนาดจำกัด พร้อมบริการตกแต่งภายในและบริการขนย้าย
ส่วนดร.พัชรา ตัณฑยรรยง กรรมการผู้จัดการ บริษัท มีนบุรีรับสร้างบ้าน จำกัด กล่าวว่าตัวเลขรายได้ครึ่งปีแรกต่ำกว่าเป้าบริษัทจึงปรับกลยุทธ์ครึ่งปีหลัง โดยเน้นเจาะลูกค้ากลุ่มผู้สูงอายุ เพื่อรองรับแนวโน้มการเป็นสังคมประชากรผู้สูงวัย โดยนำเสนอแบบบ้านหลังเกษียณ ราคาเริ่มต้น 5 ล้านบาท
“อีกกลุ่มที่น่าสนใจคือลูกค้าที่มีความต้องการสร้างบ้านเป็นเรือนหอ บริษัทร่วมออกบูทในงานโฮมบิลเดอร์ โดยเตรียมโปรโมชั่นแถมแพ็กเกจถ่ายรูปพรีเวดดิ้ง และทำสัญญาจองในงานจับสลากส่วนลดพิเศษ 5-15% แถมเครื่องใช้ไฟฟ้า อาทิ ไมโครเวฟ ตู้เย็น แอร์ ฯลฯ มูลค่ากว่า 5 หมื่นบาท”
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ