ช่วงนี้ชีวิตของคุณยัง Work-Life Balance อยู่หรือเปล่า?
สำหรับใครที่ต้องทำงานในรูปแบบ Work from home มาตลอดระยะเวลา 1-2 ปีนี้อาจจะพบกับปัญหาชีวิตพังจากการทำงานที่บ้าน ทำงานไม่เป็นเวลา อยู่บ้านก็จริงแต่พอเผลอก็มักจะหยิบงานขึ้นมาเคลียร์เพราะทำเท่าไหร่ก็ไม่เสร็จสักที และเมื่อชีวิตมีแต่คำว่างาน งาน และงาน จากเดิมที่พอกลับบ้านมาพักผ่อน ก็กลายเป็นการใช้ชีวิตเหมือนเอางานกลับมาทำที่บ้านทุกวัน แน่นอนว่า นี่คือชีวิตที่ Work-Life Balance ได้เสียไปแล้ว และหลายคนอาจจะเข้าใกล้สู่สภาวะ Burnout จากการทำงานเข้าไปทุกที
ถ้าเป็นแบบนี้เรามากู้วิกฤตวิถีการใช้ชีวิตกันใหม่ด้วยแนวคิดการแต่งบ้านในช่วง Work From Home ที่จะช่วยปลดแอกคุณจากการทำงานแทบตลอดเวลา ให้ได้หยุดหายใจหายคอบ้าง ลองมาดูกันดีกว่าว่ามีเทคนิคอะไรบ้างที่จะพาคุณก้าวผ่านสภาวะแบบนี้ไปได้
1. Multifunction
ทุกวันนี้คุณใช้ชีวิตในสภาพที่นั่งทำงานอยู่บนเตียงตลอดเวลาหรือเปล่า ถ้านี่คือพฤติกรรมตลอดช่วง WFH ที่ผ่านมา ซึ่งอาจจะมาจากสาเหตุเพราะความขี้เกียจลุกไปทำงานบนโต๊ะ หรือพื้นที่ห้องเล็กเลยไม่อยากจะซื้อเฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่เข้ามาเพิ่ม นี่คือสิ่งที่ทำให้คุณต้องทำงานอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากไม่สามารถแบ่งเวลาในการทำงานหรือพักผ่อนอย่างชัดเจนได้ เพราะคุณใช้พื้นที่ทั้งสองกิจกรรมร่วมกัน ยิ่งการทำงานบนเตียงนอนด้วยแล้ว ยิ่งทำให้เวลาพักผ่อนของคุณหายไปให้กับการทำงานมากขึ้น
2. Private and Public Spaces
3. ECO Friendly
คำว่ารักษ์โลกอย่างเทรนด์ Eco Friendly อาจจะไม่ต้องถึงขั้นติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ไว้ในบ้าน แค่เพียงคุณลองหยิบเอาไม้เลื้อยเกาะกำแพงมาปลูกเพิ่มไว้ในห้องก็จะช่วยลดอุณหภูมิให้ตัวบ้านได้ หรือลองปลูกไม้ใหญ่ไว้ใช้ร่มเงา กรองเสียงกรองฝุ่นก็ช่วยให้คุณได้ใช้ช่องเปิดของบ้านเพื่อรับแสงและลมธรรมชาติมากขึ้น ช่วยลดปริมาณการใช้ไฟหรือเครื่องปรับอากาศได้ ซึ่งนี่เป็นประโยชน์หลักของแนวคิด Eco Friendly แต่รู้หรือไม่ว่าผลพลอยได้ของการปลูกต้นไม้ที่ช่วยทำให้คุณ Work-Life ได้ดีขึ้นก็มีอยู่เหมือนกัน
ผลปรากฏว่า ผู้รับการทดลองรู้สึกสงบจิตใจได้หลังจากทำงานโยกย้ายพืช มากกว่าการทำงานด้านคอมพิวเตอร์เสร็จ ซึ่งสาเหตุเป็นเพราะต้นไม้สามารถช่วยยับยั้งการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติที่ช่วยทำให้ลดความเครียดจากการทำงานได้ ดังนั้น การปลูกต้นไม้จึงช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลายจากการทำงานได้อีกทางหนึ่งด้วย
4. Natural Light
มีงานวิจัยมาแล้วว่าถ้าทำงานในที่ทำงานที่มีแสงสว่างเหมาะสม จะช่วยลดความเครียดลงได้ โดยเฉพาะแสงธรรมชาติ (Natural light) สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ช่วยให้นอนหลับสนิทขึ้น เพิ่มฮอร์โมน Serotonin ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยทำให้เรารู้สึกสงบ และมีสมาธิ Focus กับงานมากขึ้น
ดังนั้น หากคุณต้องการทำงานได้แบบเต็มที่ การหันโต๊ะทำงานเข้าหาหน้าต่างก็จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของงานได้ ส่วนในมุมพักผ่อนเองก็ควรจัดช่องแสงธรรมชาติพร้อมกรองด้วยม่านบางๆ ที่ช่วยทำให้รู้สึกสงบจิตใจและกันแสงแดดแรงๆ ที่ทำให้ร้อนจนเกินไปเอาไว้ด้วย
5. Ergonomic Design
การจัดโซนทำงานด้วยแนวคิด Ergonomic Design ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยทำให้คุณ Work-Life Balance ได้ เพราะนี่คือการเลือกเฟอร์นิเจอร์ที่ช่วยทำให้คุณนั่งทำงานสบาย ไม่ต้องมานั่งปวดเมื่อยจนเป็นโรคออฟฟิศซินโดรมตามมาได้ นอกจากนี้การจัดโซนทำงานแบบ Ergonomic Design ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเราอีกด้วย โดยสิ่งที่ต้องคำนึงถึงในการจัดการ Work Space คือ จอมอนิเตอร์ คีย์บอร์ด เมาส์ หูฟัง รวมถึงการเลือกใช้เก้าอี้ที่ออกแบบมาจากหลักสรีรศาสตร์โดยเฉพาะ
และนี่คือ 5 แนวคิดในการแต่งบ้านแบบง่ายๆ ที่ช่วยให้คุณสามารถ Work-Life Balance ได้ หวังว่าเทคนิคนี้จะทำให้บ้านของเราน่าอยู่ น่าทำงาน แต่ก็สามารถจัดการเวลาระหว่างกิจกรรมทั้งสองอย่างได้อย่างเป็นระบบมากขึ้นด้วยนะครับ