บริษัทอสังหา รายใหญ่จากไทยและประเทศญี่ปุ่นรวม 3 ราย ประกอบด้วย พรีบิลท์ ชินวะ และพรีแซนส์ ร่วมจัดตั้งบริษัท ชินวะ เอส 39 จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 600 ล้านบาท ลงทุน 5,000 ล้านบาท/ปี พร้อมนำนวัตกรรม’รูเนะสุ’ใช้ภายในโครงการ ชี้ปีหน้าราคา รับเหมาเพิ่มแน่ 5%
บริษัทอสังหา รับสภาพ ค่ารับเหมาขึ้น เพราะต้นทุนเพิ่ม
นายวิชัย จุฬาโอฬารกุล กรรมการบริหาร บริษัท ชินวะ เรียลเอสเตท (ไทยแลนด์) บริษัทในเครือชินวะกรุ๊ป เปิดเผยว่า กลุ่มชินวะกรุ๊ป มีแผนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยโดยได้ร่วมลงทุนกับพันธมิตร 3 บริษัท จัดตั้งบริษัท ชินวะ เอส 39 จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 600 ล้านบาท
ซึ่งมีสัดส่วนการถือหุ้นแบ่งเป็น บริษัท พรีบิลท์ จำกัด(มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทรับเหมาก่อสร้าง 49% ชินวะ 26% และบริษัท พรีแซนส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด 25% ตั้งเป้าพัฒนาโครงการใหม่ปีละ 1-2 โครงการ มูลค่าประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาทต่อปีและมีแผนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่องในทุกรูปแบบ
“การร่วมลงทุนของ 3 บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่จากไทยและประเทศญี่ปุ่นในครั้งนี้ ได้นำจุดแข็งของแต่ละบริษัทมาพัฒนาโครงการที่มีคุณภาพ โดยบริษัท พรีบิลท์จะเป็นผู้ก่อสร้างโครงการ ขณะที่กลุ่มชินวะได้นำนวัตกรรมในชื่อ ‘รูเนะสุ’ เข้ามาใช้ภายในโครงการ ส่วนบริษัท พรีแซนส์ คอร์ปอเรชั่น จะเป็นผู้ทำการตลาดและนำโครงการไปทำการตลาดที่ประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย
และปี 2561-2562 บริษัทมีนโยบายพัฒนาโครงการใหม่ๆ ต่อเนื่อง รวมไปถึงการขายนวัตกรรม ‘รูเนะสุ’ ไปยังหัวเมืองใหญ่ในประเทศและภูมิภาคอาเซียนอีกด้วย” นายวิชัยกล่าว และว่า ปีนี้บริษัทได้พัฒนาโครงการ เร็น สุขุมวิท 39 เป็นคอนโดมิเนียมหรู พื้นที่กว่า 2 ไร่ มูลค่าโครงการประมาณ 2,600 ล้านบาท ราคาขายเฉลี่ยประมาณกว่า 200,000 บาทต่อตารางเมตร หรือราคาขายเริ่มต้นที่กว่า 6 ล้านบาท
นายวิโรจน์ เจริญตรา รองประธานกรรมการ และกรรมการผู้จัดการ บริษัท พรีบิลท์ กล่าวว่า ปัจจุบันกลุ่มบริษัทพรีบิลท์มีแผนรุกธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มากยิ่งขึ้นทั้งในรูปแบบลงทุนเองและร่วมทุน โดยการร่วมทุนจะดำเนินการผ่านบริษัท พรีบิลท์ โฮลดิ้ง จำกัด
ซึ่งมีทุนจดทะเบียน 500 ล้านบาท ส่วนการพัฒนาเองจะผ่านบริษัท อีส แอม อาร์ จำกัด ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท
โดยโครงการร่วมทุนตั้งเป้าลงทุน 600-700 ล้านบาท ปัจจุบันร่วมทุนแล้วกับผู้ประกอบการ 2 ราย (ชินวะกรุ๊ป และพรีเมี่ยมเพลส) ทั้งนี้ ในส่วนของรายได้คาดว่าจะอยู่ที่ 4,500 ล้านบาท ลดลงจากปีที่ผ่านมาที่มีรายได้ 4,800 ล้านบาท เนื่องจากไม่มีรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แต่จะมีรายได้จากการการลงทุนใหม่เข้ามา
นายวิโรจน์กล่าวว่า ส่วนธุรกิจรับเหมาก่อสร้างนั้น ภาพรวมตลาดจะเติบโตประมาณ 10% ซึ่งบริษัทก็โตระดับเดียวกับตลาด อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าปีหน้าค่ารับเหมาจะปรับเพิ่มขึ้น 5% เนื่องจากต้นทุนการก่อสร้างเพิ่มขึ้นทั้งจากวัสดุก่อสร้างและต้นทุนค่าแรง โดยบริษัทจะเริ่มปรับตั้งแต่ปลายปีนี้เป็นต้นไป
ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทมีแบ๊กล็อกหรือมูลค่างานในมือประมาณ 7,000 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้และปีหน้า ส่วนช่วงที่เหลือของปีนี้จะประมูลงานใหม่อีก 4,000 ล้านบาท คาดว่าจะได้งานไม่น้อยกว่า 50%
ที่มา หนังสือพิมพ์มติชน