หนึ่งเทรนด์ที่มาแรงในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมานี้ คงจะหนีไม่พ้นเทรนด์เพื่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม นับตั้งแต่เรื่องฝุ่นพิษ PM 2.5 มาจนถึงสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ที่ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ส่งผลให้รูปแบบการใช้ชีวิตและพฤติกรรมของคนเปลี่ยนไป และตระหนักถึงเรื่องของสุขภาพกันมากยิ่งขึ้น
ไม่เว้นแม้กระทั่งด้านที่อยู่อาศัยที่ผู้บริโภคเริ่มมองหาความยั่งยืนที่จะเข้ามายกระดับที่อยู่อาศัยให้ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในระยะยาวอย่างมีคุณภาพ อ้างอิงจากผลสำรวจของ Global Consumer Insights Pulse Survey ของ PwC เผยว่า 76% ของผู้บริโภคชาวไทยต้องการซื้อสินค้าที่มีบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหรือใช้บรรจุภัณฑ์น้อยที่สุด ในขณะที่ 78% เลือกซื้อเฉพาะผลิตภัณฑ์จากบริษัทที่มีจิตสำนึกและสนับสนุนการปกป้องสิ่งแวดล้อมเท่านั้น เห็นได้ชัดถึงแนวโน้มการเติบโตของแนวคิดรักษ์โลกที่มีอิทธิพลชัดเจนยิ่งขึ้นในทุกธุรกิจ
ส่วนงานสำรวจ Global Buyer Survey 2021 จากไนท์ แฟรงก์ (Knight Frank) เองก็ยืนยันว่า มีจำนวนผู้ทำการสำรวจมากถึง 84% ให้ความสำคัญกับการมองหาบ้านประหยัดพลังงาน โดยมีถึง 28% ในนี้ที่ต้องการซื้อบ้านประหยัดพลังงาน รวมถึงยกความต้องการ 2 ปัจจัยหลักมาพิจารณาในการซื้ออสังหาฯ มากขึ้น อันได้แก่ การยกระดับที่พักอาศัยหลังหลักของครอบครัว และการเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพ
นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับเรื่องพื้นที่ใช้สอยที่กว้างมากขึ้น เป็นผลจากการกักตัว โดยคิดเป็น 45% ของผู้ตอบแบบสำรวจมีแนวโน้มที่จะซื้อบ้านเดี่ยวมากกว่าก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 และเน้นไปที่บ้านติดริมน้ำ 40% และบ้านในเขตชนบท 37% มากกว่าเดิม
รูปแบบบ้านที่จะมาแรงในยุค New Normal
บ้านประหยัดพลังงาน
เพราะคำจำกัดความของ ‘บ้าน’ ในช่วงนี้กับในอดีตแตกต่างกันมาก ความคาดหวังในดีไซน์ของบ้านจะไม่ใช่แค่เรื่องของการพักผ่อนหรืออยู่อาศัย แต่ยังต้องตอบโจทย์เรื่องของการทำให้บ้านกลายมาเป็นสถานที่ทำงาน/เรียนออนไลน์ หรือแม้แต่พื้นที่ออกกำลังกายดูแลสุขภาพ ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้ย่อมมีค่าใช้จ่ายที่ตามมา เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ต่างๆ
ดังนั้น ในอนาคตผู้บริโภคจึงมีแนวโน้มที่จะหันมาเลือกที่อยู่อาศัยที่มาพร้อมฟังก์ชั่นการใช้งานภายใต้แนวคิดรักษ์โลกที่ช่วยประหยัดการใช้พลังงาน เช่น เลือกซื้อโครงการที่ผลิตพลังงานสะอาดเช่นพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Rooftop), มีระบบระบายความร้อนที่ดี, มีระบบจัดการอากาศภายในบ้าน เป็นต้น
บ้านที่ช่วยดูแลสุขภาพ
อย่างที่ผลสำรวจบอกว่า ผู้บริโภคให้ความสำคัญในการเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพ ทั้งการเลือกทำเลที่ตั้งของโครงการให้ใกล้กับสถานพยาบาลที่น่าเชื่อถือ การที่โครงการสนับสนุนเรื่องการดูแลสุขภาพ เช่น การมีระบบตรวจสุขภาพแบบออนไลน์ให้ลูกบ้านใช้บริการ รวมไปถึงการที่บ้านมีฟังก์ชันที่ช่วยทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นจากการกำจัดมลพิษหรือฟอกอากาศภายในบ้านได้ดีขึ้น
ยกตัวอย่างจากบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ที่เคยเปิดตัว “บ้านปลอดฝุ่น” หรือ Dust-free House ครั้งแรก หลังจากใช้เวลาศึกษานวัตกรรมและเทคโนโลยีด้านระบบอากาศภายในและภายนอกที่อยู่อาศัย ซึ่งสามารถเติมอากาศบริสุทธิ์และกรองฝุ่นละออง PM2.5 ได้ไม่น้อยกว่า 90% รวมถึงฝุ่นละอองที่มีขนาดเล็กกว่า PM1 ได้ไม่น้อยกว่า 75% ในช่วงที่มีค่าฝุ่น PM 2.5 รุนแรง
บ้านที่มีความยืดหยุ่น (flexible)
เพราะคนส่วนใหญ่ต้องทำงานที่บ้านหรือเรียนที่บ้านในระยะยาว ดังนั้น พื้นที่ใช้สอยในบ้าน/คอนโดฯ ต้องสามารถปรับเปลี่ยนให้รองรับการ Work from Home และอำนวยความสะดวกให้สามารถทำงานออนไลน์ได้อย่างราบรื่นเช่นกัน ผู้บริโภคจึงให้ความสำคัญในเรื่องการจัดแต่งสภาพแวดล้อมให้เหมาะกับการทำงาน ซึ่งจะส่งผลดีและช่วยให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น ระบบถ่ายเทอากาศ, การมี Wifi, การมีมุมที่เหมาะสำหรับนั่งทำงาน หรือเป็นบ้านที่มีเฟอร์นิเจอร์ที่ตอบโจทย์สำหรับการทำบ้านเป็นออฟฟิศมากขึ้น เป็นต้น
การแพร่ระบาดของโควิด-19 ถือเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างบนโลก ไม่เว้นเเม้แต่เรื่องเทรนด์การอยู่อาศัยที่จากเดิมคนอาจจะสนใจการใช้ชีวิตนอกบ้าน การเดินทาง หรือการใช้พื้นที่ส่วนกลางมากเป็นพิเศษ แต่ตอนนี้ทุกอย่างกำลังเปลี่ยนเป็นการใช้ชีวิตในพื้นที่ส่วนตัวมากขึ้น ก็ต้องตามดูต่อว่า หลังจากโควิด-19 หมดไปแล้ว ผู้บริโภคจะหันไปสนใจเลือกบ้านในรูปแบบใดต่อไป หรือจะยังคงเทรนด์สุขภาพ-รักษ์โลกนี้ไปอีกหลายปี