ตลาด คอนโดให้เช่า ในกรุงเทพฯ มีการแข่งขันสูงขึ้นเรื่อยๆ จากการที่มีโครงการใหม่ทยอยสร้างเสร็จเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่ในขณะเดียวกัน บริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ เจแอลแอล เปิดเผยว่า คอนโดในกลุ่มเพ้นท์เฮ้าส์ เริ่มมีจำนวนไม่เพียงพอรองรับความต้องการของผู้เช่า และสถานการณ์ดังกล่าวนี้มีแนวโน้มสูงขึ้น
รายงานจากเจแอลแอล ระบุว่า เพ้นท์เฮ้าส์ที่เสนอให้เช่าในกรุงเทพฯ โดยทั่วไป มีขนาด 4-5 ห้องนอนและพื้นที่ใช้สอยมากกว่า 300 ตารางเมตร โดยมีค่าเช่าอยู่ระหว่าง 250,000-350,000 บาทต่อเดือน และมีผู้เช่าเป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัทหรือองค์กรระหว่างประเทศต่างๆ ที่ต้องการเช่าห้องชุดขนาดใหญ่สำหรับเป็นที่พักอาศัยให้กับครอบครัว
นางสุพินท์ มีชูชีพ กรรมการผู้จัดการ เจแอลแอล กล่าวว่า “เพ้นท์เฮ้าส์ โดยทั่วไปหมายถึงห้องชุดที่อยู่ในชั้นบนสุดของอาคารคอนโดมิเนียม และมักมีขนาดที่ใหญ่พิเศษกว่ายูนิตอื่นๆ ทั่วไปในอาคารเดียวกัน ซึ่งด้วยคำจำกัดความนี้ ทำให้เพ้นท์เฮ้าส์ที่มีอยู่ คิดเป็นสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับจำนวนยูนิตคอนโดมิเนียมที่อยู่ทั้งหมดในตลาด”
ศูนย์บริการข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ไทย เจแอลแอล ระบุว่า ณ สิ้นปีนี้ กรุงเทพฯ มีห้องชุดคอนโดมิเนียมที่เป็นเพ้นท์เฮ้าส์จำนวนรวมทั้งสิ้นเพียง 1,590 ยูนิต คิดเป็นไม่ถึง 0.3% ของจำนวนยูนิตคอนโดที่มีอยู่ทั้งหมดในกรุงเทพฯ โดยในช่วงระหว่างปี 2556-2561 มีจำนวนเพ้นท์เฮ้าส์เพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละ 80 ยูนิต เพ้นท์เฮ้าส์ที่มีเสนอให้เช่าในปัจจุบัน ส่วนใหญ่อยู่ในอาคารคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จมานานหลายปีแล้ว ซึ่งเจ้าของซื้อมาในราคาที่ไม่สูงเท่ากับเพ้นท์เฮ้าส์ในโครงการใหม่ๆ จึงยังคงสามารถได้รับผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าได้ในอัตราเฉลี่ยที่ 3%
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ไม่พบว่ามีการลงทุนซื้อเพ้นท์เฮ้าส์ในโครงการคอนโดใหม่เพื่อนำออกมาปล่อยเช่า โดยเฉพาะในโครงการระดับหรู เนื่องจากผลตอบแทนการลงทุนอยู่ในระดับที่ไม่ดึงดูดใจสำหรับนักลงทุน นางสุพินท์อธิบายว่า
“โดยทั่วไป เพ้นท์เฮ้าส์จะมีราคาขายต่อตารางเมตรสูงกล่าวคอนโดยูนิตธรรมดาราว 20% ในขณะที่ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา ราคาขายทั้งคอนโดยูนิตปกติและเพ้นท์เฮ้าส์ปรับเพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 30% แต่ค่าเช่าปรับเพิ่มขึ้นเพียงไม่ถึง 10% ดังนั้น ผู้ที่คิดจะซื้อเพ้นท์เฮ้าส์ในโครงการใหม่เพื่อปล่อยเช่าในขณะนี้ อาจได้รับผลตอบแทนการลงทุนไม่ถึง 1%”
“แม้การซื้อเพ้นท์เฮ้าส์เพื่อปล่อยเช่าจะไม่เป็นที่นิยมในขณะนี้ แต่ความต้องการซื้อเพื่อใช้เองยังคงมีอยู่สูง โดยผู้ที่ซื้อเพ้นท์เฮ้าส์ในโครงการใหม่ขณะนี้ มีทั้งผู้มีฐานะชาวไทยที่ซื้อเพื่อใช้เป็นบ้านหลังที่สองในย่านศูนย์กลางธุรกิจ เพิ่มเติมจากบ้านหลักในย่านชานเมือง และชาวต่างชาติที่ซื้อไว้เพื่อใช้เป็นที่พักในช่วงที่เดินทางเข้ามาอยู่ในประเทศไทย โดยอีกเหตุผลหนึ่งที่ซื้อเพ้นท์เฮ้าส์คือการต้องการเป็นเจ้าของยูนิตที่พิเศษที่สุดในโครงการซึ่งมีเพียงไม่กี่ยูนิตเท่านั้น”
“ในอนาคต คาดว่า แนวโน้มการมีจำนวนเพ้นท์เฮ้าส์ไม่เพียงพอรองรับความต้องการของผู้เช่าจะปรากฏชัดเจนมากขึ้น เนื่องจากกรุงเทพฯ ยังคงมีชาวต่างชาติจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ที่เข้ามาทำงานกับบริษัทข้ามชาติหรือองค์กรระหว่างประเทศทั้งที่มีอยู่เดิมและที่เข้ามาเปิดใหม่
ในขณะที่ผลตอบแทนลงทุนจะยังคงอยู่ในระดับที่ไม่ดึงดูดใจให้มีการซื้อเพ้นท์เฮ้าส์ใหม่เพื่อปล่อยเช่า ผู้ที่จะได้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้มากที่สุดคือเจ้าของเพ้นท์เฮ้าส์ในโครงการเก่าที่มีการปล่อยเช่าอยู่ในขณะนี้ อย่างไรก็ดี เพ้นท์เฮ้าส์ในโครงการเก่าที่ขาดการบริหารจัดการและการบำรุงรักษาที่ดีจะไม่ได้รับประโยชน์ นอกจากนี้ การเกิดภาวะขาดแคลนอาจไม่ได้หมายความว่า เจ้าของจะสามารถปรับค่าเช่าสูงขึ้นได้มากนัก เพราะผู้เช่ายังคงมีที่พักอาศัยทางเลือกอื่นๆ อีก”