Joint Venture เพื่อพัฒนาอสังหายังสำคัญ! ผู้ประกอบการยังใช้เป็นทางรอดจากสถานการณ์โควิด

แม้สัญญาณบวกของภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยจะยังไม่ฉายชัดมากนัก แต่ว่าหากมองภาพรวมของการฟื้นตัวและปรับตัวของประเทศไทยแล้ว ต้องนับว่าดีขึ้นกว่าช่วง 3-4 เดือนก่อนหน้ามาก แม้ในช่วงนี้จะไม่ค่อยมีความคืบหน้าของการพัฒนาอสังหาที่หวือหวามากนัก เนื่องจากผู้ประกอบการหลายรายยังคงเดินหน้ากระหน่ำโปรโมชั่นเร่งโอนเพื่อสำรองกระแสเงินสดในมือให้ได้มากที่สุด แต่ก็มีผู้ประกอบการบางรายที่เริ่มพัฒนาอสังหาโดยการ Joint Venture จับมือบริษัทผู้ประกอบการต่างชาติ เตรียมเดินหน้าพัฒนาอสังหาต่อหลังโควิด

pic_1<Credit Pic> ananda.co.th

อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ เดินหน้า Joint Venture ต่อกับมิตซุย ร่วมพัฒนาอสังหาหลังโควิด

สำหรับอนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ เจ้าตลาดคอนโดมิเนียมในทำเลใกล้รถไฟฟ้า ยังคงเดินหน้าจับมือ Joint Venture กับพันธมิตรเก่าจากญี่ปุ่น บริษัท มิตซุย ฟูโดซัง จำกัด ซึ่งยังคงเน้นการเดินหน้าพัฒนาอสังหาในทำเลที่ติดกับรถไฟฟ้า โดยได้จับมือกันพัฒนาอสังหาภายใต้การร่วมทุนมากตั้งแต่ช่วงปี 2556 จนมาถึงปัจจุบัน มีโครงการภายใต้ความร่วมมือทั้งหมด 29 โครงการ จำนวน 23,000 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 87,921 ล้านบาท ซึ่งแม้จะยังไม่พ้นสถานการณ์โควิด แต่อนันดาและมิตซุย ยังคงเดินหน้าการพัฒนาอสังหาอย่างคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าซึ่งเป็นจุดแข็งของโครงการอย่างต่อเนื่อง โดยปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและเตรียมพร้อมกับตลาดภายหลังโควิด ซึ่งในปี 2563 จะมีโครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้การร่วมทุนที่จะก่อสร้างแล้วเสร็จและพร้อมโอนกรรมิสทธิ์ จำนวนทั้งสิ้น 7 โครงการ รวมมูลค่า 29,815 ล้านบาท ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นโครงการไฮไลท์ของอนันดาเลยทั้งสิ้น ได้แก่ แอชตัน อโศก – พระราม 9, ไอดีโอ คิว วิคตอรี่, ไอดีโอ คิว สุขุมวิท 36, ไอดีโอ รัชดา – สุทธิสาร, ไอดีโอ โมบิ สุขุมวิท อีสต์พอยท์, เอลลิโอ เดล เนสท์ และ เอลลิโอ สาทร – วุฒากาศ โดยนอกจากโครงการคอนโดมิเนียมแล้ว อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ และ มิตซุย ฟูโดซัง ยังได้ร่วมกันพัฒนาอสังหาประเภทเซอร์วิสอพาร์ตเมนท์อีก 5 แห่งในกรุงเทพมหานคร โดยโครงการที่พร้อมนำร่องเปิดดำเนินการภายในไตรมาสที่ 3 ปี 2563 คือโครงการ LYF SUKHUMVIT 8

นอกจากนั้นคุณชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ยังเปิดเผยว่าตัวเลขการขายคอนโดมิเนียมแนวรถไฟฟ้ามีแนวโน้มกลับมาดีขึ้นแล้วกว่า 70% จากช่วงโควิดที่แทบจะเป็นศูนย์ โดยเชื่อมั่นว่าสถานการณ์คอนโดมิเนียมจะสะดุดในระยะสั้นเท่านั้น แต่ก็ยังคงปรับตัวอยู่ตลอดเวลา โดยยังไม่มีแผนของการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ แต่เน้นไปที่โครงการที่จะพร้อมโอนมูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาทในไตรมาสที่ 3 มากกว่า โดยเน้นการปรับตัวให้อยู่รอดตามหลักคิด “Change The Plane Never The Goal” ยึดมั่นในเป้าหมาย ยืดหยุ่นในวิธีการ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพตลาดและความต้องการของลูกค้ามากที่สุด

pic_2<Credit Pic> sena.co.th

เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ กรุยทางใหม่ Joint Venture การพัฒนาอสังหาประเภทคอนโดครั้งแรกกับ ฮันคิว ฮันชิน

สำหรับผู้ประกอบการ บริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ก็ได้มีการปรับตัวให้สอดรับกับสถานการณ์ตลาดและกำลังซื้อในปัจจุบันเช่นกัน โดยได้มีการปรับแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ในปี 2563 จากเดิมจะเปิด 10 โครงการ รวมมูลค่า 7,500 ล้านบาท ปรับแผนใหม่เป็นเปิดตัว 6 โครงการ รวมมูลค่า 3,100 ล้านบาท โดยได้เปิดตัวไปแล้วตั้งแต่ช่วงครึ่งปีแรก 2563 จำนวน 3 โครงการ และจะเปิดตัวอีก 3 โครงการในครึ่งปีหลัง ได้แก่ เดอะ คิทท์ พลัส พหลโยธิน-คูคต (เฟส 2), เสนา วีว่า เพชรเกษม-พุทธมณฑลสาย 7 และเสนา คิทท์ เทพารักษ์ – บางบ่อ ซึ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียมโครงการแรก ที่บริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กับ บริษัท ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ คอร์ปเปอร์เรชั่น ได้จับมือกันร่วมพัฒนาอสังหาประเภทคอนโดมิเนียม BOI โดยรวมมูลค่าโครงการ 1,100 ล้านบาท

นอกจากนั้น ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บรัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหน) ยังเปิดเผยว่า โครงการที่ดำเนินการโดยบริษัทและบริษัทร่วมทุน มียอดโอนกรรมสิทธิ์จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และรายได้อื่น ๆ เท่ากับ 1,758 ล้านบาท โดยมียอด Backlog รวมทั้งสิ้น 11,497 ล้านบาท คาดว่าสามารถรับรู้รายได้ในปี 2563 มูลค่า 5,862 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการของบริษัทร่วมทุน 4,867 ล้านบาท โครงการคอนโดมิเนียมของบริษัทเสนา 713 ล้านบาท และโครงการแนวราบของบริษัทเสนา 283 ล้านบาท

Skyscrapers at sunset

แม้ว่าสถานการณ์โควิดภายในประเทศจะเริ่มปรับตัวดีขึ้น แต่สำหรับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ นี่ยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่จะเบาใจ ดังนั้นจึงมีการปรับกลยุทธ์ให้สอดรับกับความต้องการและความผันผวนตลอดเวลา เพื่อให้สามารถปรับตัวเท่าทันกับสถานการณ์ปัจจุบันได้ดีที่สุด