บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เติบโตมาได้อย่างแข็งแกร่ง แม้ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับปัญหาหรือวิกฤตต่าง ๆ โดยเฉพาะในปี 2563 ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะจากปัจจัยด้านเศรษฐกิจหรือการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ที่ทำให้ยอดขายลดลงกว่าช่วงปีที่ผ่าน ๆ มา ดังนั้นในปี 2564 นี้ LPN จึงวางกลยุทธ์เพิ่มยอดขายให้มากขึ้น เพื่อนำไปสู่การทำกำไรอย่างยั่งยืน โดยเรียนรู้จากวิกฤตต่าง ๆ ที่ผ่านมา
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN เปิดเผยว่า บริษัทวางกลยุทธ์ 4 ปี (2564-2567) ให้เป็นปีของการขับเคลื่อนองค์กรไปสู่การเป็นองค์กรที่มีอัตราการเติบโตในด้านของรายได้ และความสามารถในการทำกำไรอย่างยั่งยืน ผ่านการบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ การใช้ข้อมูล (Big Data) มาวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้า (Customer Insight) เพื่อการพัฒนาทั้งบ้านพักอาศัย และอาคารชุดพักอาศัย ให้มีฟังก์ชั่นการใช้งาน ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้าในทุกมิติในระดับราคาที่เหมาะสม (Affordable Price) สำหรับผู้ซื้อในทุกกลุ่มภายใต้แนวคิด “ความพอดีที่ดีกว่า : The Better Balance”
หลังจากที่เราก้าวข้ามผ่านความเสี่ยงทางธุรกิจที่เกิดขึ้นในปี 2563 สามารถรักษาความสามารถในการสร้างรายได้และกำไร ไว้ได้ในอัตราที่เหมาะสมถึงแม้จะเผชิญกับการแพร่ระบาด COVID-19 ที่ทำให้ทุกภาคธุรกิจต้องปรับตัวรวมทั้งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์” นายโอภาส กล่าว
4 ยุทธศาสตร์หลักเพื่อเป็นให้เป็นกลยุทธ์เพิ่มยอดขาย
1.การรุกตลาดบ้านพักอาศัย ปี 2564 บริษัทวางกลยุทธ์เพิ่มยอดขายเน้นการเปิดตัวโครงการบ้านแนวราบเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าเรียลดีมานด์ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์เฮ้าส์ เพิ่มขึ้น โดยมีแผนเปิดตัวใหม่ 6 โครงการ มูลค่า 5,500 ล้านบาท บ้านเดี่ยวสำหรับตลาดพรีเมี่ยมราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป ภายใต้แบรนด์ “บ้าน 365” 1-2 โครงการ มูลค่า 3,000 ล้านบาทเน้นทำเลใจกลางเมืองในพื้นที่ขนาดเล็ก แต่มีความเป็นส่วนตัวสูงภายใต้แนวคิด “Private Resident” ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ซื้อในกลุ่มนี้ที่ต้องการที่อยู่อาศัยใจกลางเมืองและมีความเป็นส่วนตัว
2.ขยายฐานรายได้จากงานบริการ บริษัทรุกขยายฐานรายได้จากงานบริการเพิ่มขึ้นจากฐานธุรกิจเดิมที่มีอยู่ไปสู่กลุ่มลูกค้าใหม่นอกเหนือจากของ LPN โดยมีการนำแพลตฟอร์มธุรกิจ (Business Platform) สร้างเครือข่ายกับพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อสร้างรายได้เพิ่มให้กับกลุ่มธุรกิจบริการภายใต้การบริหารของบริษัทในเครือทั้ง บริษัท ลุมพินี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด (LPP) บริษัท แอล พี ซี วิสาหกิจ เพื่อสังคม จำกัด (LPC) บริษัท ลุมพินี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด (LPN Wisdom) และบริษัท รักษาความปลอดภัย แอลเอสเอส โซลูชั่นส์ จำกัด (LSS) โดยตั้งเป้ารายได้ในส่วนของงานบริการเติบโตไม่น้อยกว่า 20% ในปี 2564 เทียบกับปี 2563 ที่มีรายได้จากงานบริการและธุรกิจให้เช่าที่ 1,361 ล้านบาท
3.การบริหารสภาพคล่องทางการเงิน ปี 2564 บริษัทวางกลยุทธ์ชะลอแผนซื้อที่ดินใหม่เนื่องจากมีที่ดินที่ซื้อเก็บไว้ในปี 2563 ทั้งสิ้น 6-8 แปลง สามารถนำมาใช้ในการพัฒนาอาคารชุดรองรับแผนลงทุนในปี 2564 ประกอบกับปัจจุบันมีอาคารชุดที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและสต๊อกสร้างเสร็จพร้อมขายรองรับกับการเติบโตของธุรกิจได้ต่อเนื่องในปี 2564-2567 จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องซื้อที่ดินใหม่ ทำให้บริษัทสามารถรักษากระแสเงินสดของบริษัทให้สามารถที่จะรองรับกับแผนการลงทุนในด้านอื่นๆ หรือสามารถที่จะรองรับกับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากความไม่แน่นอนของการควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในขณะเดียวกันบริษัทมีแผนออกหุ้นกู้ 3,000 ล้านบาท เพื่อนำมาใช้ในการชำระคืนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระคืนในปี 2564 จำนวน 2,000 ล้านบาท และเพื่อลงทุนซื้อที่ดินสำหรับการพัฒนาโครงการบ้านแนวราบซึ่งตั้งวงเงินไว้ 4,000 ล้านบาทในปี 2564 โดยบริษัทยังคงสามารถรักษาสัดส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt to Equity Ratio) ในสัดส่วนไม่เกิน 1:1 เพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับบริษัท
4.การสร้างรายได้และ Backlog จากทรัพย์สินที่มีอยู่ ในปี 2564 บริษัทได้วางกลยุทธ์ที่จะนำเอาทรัพย์สินที่มีอยู่ เช่น อาคารชุดสร้างเสร็จรอขายนำมาปล่อยเช่าเพื่อสร้างรายได้และรวมถึงการสร้าง Backlog เพื่อขายในอนาคตทั้งนี้ บริษัทมีแผนนำแลนด์แบงก์บางส่วนมาพัฒนาในรูปแบบที่แตกต่างออกไป เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับที่ดินในมือ หลังจากดำเนินการไปแล้วในปี 2563 สามารถทำรายได้เติบโตในส่วนนี้ได้ถึง 30%
อ้างอิง
https://www.prachachat.net/property/news-621082