เมื่อเราต้องการมีที่ดินในครอบครองซึ่งไม่ทำประโยชน์อันใด ก็ควรหาช่องทางให้ที่ดินผืนดังกล่าวได้ทำประโยชน์กับคุณดีกว่า ตัวเลือกก็มีหลากหลายวิธี อาทิ ก่อสร้างอาคารพาณิชย์ให้เช่า หรือปรับสภาพที่ดินให้เหมาะสมเพื่อการทำประโยชน์ต่อไป เป็นต้น แต่คุณควรประเมินสถานการณ์ให้ดีก่อนว่า ในอนาคตที่ดินแปลงนี้และพื้นที่ใกล้เคียงจะก้าวสู่ความเจริญมาก-น้อยเพียงใด เพราะผู้ต้องการเช่าที่ดินเองก็ประเมินอนาคตของที่ดินผืนดังกล่าวไว้ก่อนแล้ว เพื่อที่คุณจะกำหนดราคาเช่าต่อปีอย่างเหมาะสม และควรศึกษากฎหมายเกี่ยวกับการเช่าที่ดินเพื่อความชัดเจน หากเกิดปัญหาขึ้นมาคุณจะไม่เสียผลประโยชน์หรือถูกเอาเปรียบ
ไม่เฉพาะการเช่าที่ดินเท่านั้น การเช่าที่พักหรืออาคารต่าง ๆ กฎหมายกำหนดให้ทำหลักฐานเป็นหนังสือสัญญาเช่าให้ชัดเจน ซึ่งการทำสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ทั้งหลายไม่ใช่เรื่องใหญ่และไม่ยุ่งยาก และไม่จำเป็นต้องร่างข้อความให้ยาว ขอแค่ให้มีข้อความที่ระบุว่า… ใครเช่าอะไรจากใคร เวลายาวนานเท่าไร ค่าเช่าเท่าไหร่ แล้วมีการลงนามระหว่างผู้เช่ากับผู้ให้เช่า (กม.แพ่งและพาณิชย์มาตรา 537-538) เพราะข้อความในกฎหมายที่เกี่ยวกับ “การเช่า” ระบุรายละเอียดไว้ชัดเจนว่าใคร หรือฝ่ายไหนต้องรับผิดชอบอะไรบ้าง (กม.แพ่งและพาณิชย์มาตรา 546-563) ซึ่งข้อความสำคัญคือ “ผู้ให้เช่า” ต้องส่งมอบทรัพย์สินที่สมบูรณ์และพร้อมใช้งาน ส่วน ”ผู้เช่า” ก็ต้องจ่ายค่าเช่าและดูแลรักษาทรัพย์สินนั้นเหมือนเป็นทรัพย์ของตนครับ
การเช่าที่ดินหรืออาคารและห้องพักสามารถแบ่งให้เข้าใจได้อยู่ 2 ลักษณะ คือสัญญาเช่าที่ตกลงผลประโยชน์กันเอง สัญญาแบบนี้มีอายุเพียง 3 ปีเท่านั้น หากต้องการเช่าที่ดินมากกว่า 3 ปี ต้องทำหนังสือและจดทะเบียนต่อเจ้าหน้าที่ สำหรับการเช่าที่ดินกฎหมายกำหนดการทำสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์แต่ละครั้งได้ไม่เกิน 30 ปี (กม.แพ่งและพาณิชย์มาตรา 540) หากใกล้จะหมดเวลาเช่า 30 ปี ควรรีบทำสัญญาเช่าใหม่
